11 DIY วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
11 DIY วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง

เราต่างรู้ดีว่าการจะทำให้เว็บไซต์ได้ปรากฏบนหน้าแรกของ Google จำเป็นต้องพึ่งสิ่งที่เรียกว่า SEO หรือ Search Engine Optimization กระบวนการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหาและผู้ใช้งาน แต่หลายคนมักคิดว่ากระบวนการนี้เป็นเรื่องที่ยาก และต้องใช้ความรู้เฉพาะทางอย่างมากจึงจะทำได้

แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำ SEO สามารถทำได้ด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ และที่สำคัญคือสามารถทำได้ ฟรี ไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาให้มาช่วยผลักดันแต่อย่างใด ขอแค่คุณมีเวลาและความอดทนในการศึกษาข้อมูล ทดลองทำ และปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีขึ้น ซึ่งในบทความครั้งนี้เราจะแนะนำ 11 วิธี DIY ฉบับวิธีทำ SEO ด้วยตัวเองที่คุณสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้ มาลองดูกันดีกว่าว่ามีวิธีอะไรบ้าง

มาเริ่มลงมือทำจริง SEO ด้วยตัวเองกันเลยดีกว่า

การทำ SEO เป็นเรื่องที่ไม่ได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ง่ายด้วยเช่นกัน แต่ทั้งหมด 11 วิธี DIY ต่อไปนี้คือวิธีทำ SEO ด้วยตัวเองที่สามารถทำได้ง่าย ๆ และเรียกได้ว่าเป็นสิ่งพื้นฐานที่แทบจะขาดไม่ได้กับการทำ SEO เลยทีเดียว โดยมีวิธีการอะไรบ้าง มาลองดูกันเลยดีกว่า

วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง 1-3


1. Keyword Research (วิเคราะห์คำหลัก)

Keyword นับได้ว่าเป็นหัวใจหลักของการทำ SEO ดังนั้นรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร และวิเคราะห์คำหลัก (Keyword) จะทำให้คุณรู้ได้ทันทีว่าควรใช้ Keyword คำไหนถึงจะถูกใจและทำให้ถูกค้นหาจริง ๆ รวมไปถึงการเช็กอัตราการค้นหาของคำนั้น ๆ ว่ามีมากน้อยเท่าไร และมีอัตราการแข่งขันที่สูงหรือไม่ คุ้มค่าที่นำมาใช้งานหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเว็บไซต์ขายรองเท้า คุณจะรู้ได้ทันทีว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นใคร และจะเลือกใช้ Keyword อย่าง “รองเท้าวิ่ง” ที่ไว้สำหรับเอาใจกลุ่มนักวิ่ง นักกีฬา หรือ “รองเท้าแฟชั่น” ไว้สำหรับเอาใจกลุ่มสาว ๆ ที่ชื่นชอบในรองเท้า

หากเจอ Keyword บางคำที่มีการค้นหาสูง แต่การแข่งขันทางการตลาดก็สูงด้วยเช่นกันคุณอาจจะเลือกใช้เป็น Longtail Keyword (แนบลิงก์บทความที่ 9) หรือคำหลักเฉพาะตัว ที่มีการแข่งขันน้อยกว่าปกติก็ย่อมได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกใช้งาน Keyword ควรเป็นคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายและเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ด้วย เพราะการใช้งาน Keyword ที่ไม่ถูกประเภทหรือเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ จะทำให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO มีคะแนนลดต่ำลง จนถูกจัดอันดับเว็บไปอยู่อันดับท้าย ๆ ได้


2. ทำเนื้อหา (Content) ให้มีคุณภาพ

การทำเนื้อหา (Content) ที่มีคุณภาพสำหรับ SEO ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ถ้ารู้จักเทคนิคและวิธีการที่ถูกต้อง รวมไปถึงมีความเข้าใจการใช้งานคำหลัก (Keyword) อย่างเหมาะสม ด้วยเทคนิคต่อไปนี้

  • การกำหนดหัวข้อ (Heading) : ในการเขียนเนื้อหา (Content) หรือบทความลงในเว็บไซต์ที่ทำ SEO ควรจำเป็นต้องกำหนดหัวข้อและแบ่งออกให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น H1-H6 โดยการแบ่งหัวข้อเนื้อหาให้ชัดเจน จะทำให้เรารู้ลำดับการเรียบเรียงของเนื้อหา และทำให้การเขียนเนื้อหามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

  • ใส่ Keyword ลงใน Header : การทำเนื้อหา (Content) บทความสำหรับการทำ SEO การใส่คำหลัก (Keyword) ระบุลงไปในหัวข้อ (Heading) ของเนื้อหา เป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยผลักดันการทำ SEO เพราะเครื่องมือค้นหาอย่าง Google จะรู้และเข้าใจจุดประสงค์ของเนื้อหาผ่าน Keyword ได้ในทันที นอกจากนี้การแบ่งหัวข้อ (Heading) ของเนื้อหาให้ชัดเจน และเป็นลำดับ ก็เป็นส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน

  • การจัดวาง Keyword ไว้ในเนื้อหา : คำหลัก (Keyword) ที่คุณเลือกใช้งานในแต่ละหน้าเว็บเพจ ควรมีการระบุในเนื้อหาอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เพื่อให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google เข้าใจว่าต้องการสื่อถึงอะไร แต่ข้อควรระวังอย่างหนึ่งคือ ไม่ควรใส่ Keyword ลงไปในเนื้อหามากเกินไป ไม่งั้นอาจถูกมองว่าสแปม จนเกิดปัญหา “Keyword Stuffing” ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ทำให้เว็บของคุณถูกลดอันดับลง

  • เขียนเนื้อหาให้เป็นธรรมชาติ : การเขียนเนื้อหา (Content) ลงในเว็บที่ทำ SEO การเขียนเนื้อหาควรเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่ควรใช้คำหรือการเขียนที่ดูเป็นบอทมากเกินไป เพราะอัลกอริทึมของ Google สามารถรู้ได้ทันทีว่าเนื้อหาไหน ใช้คนหรือบอทเขียน ถ้าอยากรู้ว่าเขียนคอนเทนต์ให้เป็นธรรมชาติอย่างไร นอกจากนี้ควรเขียนเนื้อหาให้มีความถูกต้อง และมีแหล่งที่มา เพื่อให้ตัวเนื้อหาหรือบทความดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น


3. ใช้ Meta Tag อย่างถูกต้อง

Meta Tag คือโค้ดสั้น ๆ ที่ทำให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google เข้าใจมากขึ้น ซึ่งการใช้งาน Meta Tag ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ยกตัวอย่างเช่น Title Tag และ Meta Description ควรจะมีการใส่ Keyword ลงไปด้วยเสมอ เพื่อบ่งบอกว่าเว็บของคุณนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร และทำให้ผู้ค้นหาเข้าใจเว็บไซต์ก่อนกดเข้าชมมากยิ่งขึ้น โดยตัว Title Tag ไม่ควรมีความยาวเกิน 60 คำ และ Meta Description ไม่ควรมีความยาวเกิน 150 คำ เพราะหากมากเกินไป คำที่พิมพ์ลงไปจะถูกตัดและทำให้ข้อความนั้นดูไม่เป็นธรรมชาติ

วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง  4-7


4. ปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ (Page Speed)

ความเร็วโหลดหน้าเว็บ (Page Speed) นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากอย่างมากในการทำ SEO คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Google PageSpeed Insights ในการตรวจสอบได้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความเร็วโหลดหน้าเว็บเท่าไร โดยหน้าเว็บไม่ควรโหลดนานจนเกินไป เพราะจะทำให้ผู้เข้าใช้งานรู้สึกเบื่อแล้วกดออกจากเว็บได้ ซึ่งการทำแบบนั้นจะส่งผลเสียต่อเว็บไซต์อย่างชัดเจน ดังนั้นเว็บไซต์ที่มีความเร็วในการโหลดหน้าเว็บมากเท่าไร ยิ่งส่งผลดีต่อเว็บไซต์มากเท่านั้น โดยคุณสามารถอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับ ความเร็วโหลดหน้าเว็บได้ที่นี่ Page Speed


5. ใช้งานเครื่องมือ SEO ฟรี

ในการทำ SEO ด้วยตัวเอง มีเครื่องมือหลายตัวที่สามารถใช้งานได้ฟรี และมีประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Google Analytics หรือ Google Search Console ที่จะมาคอยเช็กและตรวจสอบการทำ SEO ของคุณให้อย่างละเอียด รวมไปถึงการใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการวิเคราะห์และค้นหาคำหลัก (Keyword) มาใช้งานได้อย่างถูกจุด นอกจากนี้ยังสามารถเลือกใช้งานปลั๊กอินที่ข้องกับการทำ SEO อย่าง Yoast ได้ด้วยเช่นกัน เพราะมันจะช่วยตรวจสอบการทำและลงเนื้อหาหรือบทความในเว็บไซต์อย่างละเอียด ว่าถูกต้องตามหลักการของ SEO หรือไม่

Internal link คือลิงก์ที่เชื่อมโยงหน้าเพจเว็บแต่ละหน้าภายในเว็บไซต์ให้เชื่อมถึงกัน โดยการหน้าที่ลิงก์ไปหากันต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันด้วย ด้วยการทำแบบนี้จะทำให้เว็บไซต์ของคุณดูมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการเชิญชวนให้ผู้เข้าชมได้แวะชมหน้าเว็บเพจอื่น ๆ ของเราได้มากกว่าเดิมอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีบทความเกี่ยวกับ “วิธีการเลือกรองเท้าวิ่ง” คุณสามารถหาข้อความ หรือเนื้อหาที่ลิงก์ไปยังบทความที่เกี่ยวข้องกันได้ เช่น “วิธีดูแลรองเท้า” เป็นต้น


7. การเพิ่ม Alt Text ให้กับรูปภาพ

การใส่รูปภาพประกอบลงในเนื้อหาบทความของเว็บไซต์ที่ทำ SEO นับเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง เพราะมันจะช่วยเสริมความน่าสนใจของเนื้อหาให้กับผู้ใช้งานได้ แต่ถึงอย่างนั้นการใส่ภาพ ควรที่จะมีการใส่ Alt Text ให้กับรูปภาพด้วยเช่นกัน เพื่อให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google เข้าใจว่ารูปภาพของคุณคืออะไร ทั้งนี้การใส่ Alt Text ก็ควรจำเป็นต้องมี Keyword ด้วยเช่นกัน เพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจภาพ จนนำไปสู่การแสดงผลบนหน้าผลการค้นหารูปภาพของทาง Google ได้

วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง 8-11


8. ใช้ Social Media ในการช่วยเสริม SEO

หากเว็บไซต์ของคุณมีสื่อโซเชียลมีเดีย คุณสามารถทำการแชร์หน้าเว็บหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ลงสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้เช่นกัน เพราะสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ รวมไปถึงการเพิ่มยอดเข้าชมได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสที่เนื้อหาของคุณจะได้รับการแชร์หรือส่งต่อไปให้ผู้อื่นได้เรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น ใช้ Facebook หรือ Twitter ในการแชร์บทความใหม่ ๆ ที่พึ่งเขียน ให้ผู้ติดตามหรือคนที่รู้จักได้เข้ามาอ่าน


9. การตั้งชื่อ URL ที่เหมาะสม

URL ของเว็บไซต์ หลายคนมักมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่มองข้ามกันได้ แต่การตั้งชื่อ URL ที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหน้าเว็บนั้นจะทำให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google และผู้ใช้งานเข้าใจภาพรวมของเนื้อหาได้ง่ายขึ้น โดยการตั้งชื่อ URL ของเว็บไซต์ไม่ควรยาวจนเกินไป และควรมี Keyword และหัวข้อของเนื้อหากำกับอยู่ด้วยเสมอ การทำแบบนี้จะทำให้การทำ SEO ของเว็บไซต์นั้นดีขึ้นได้ รวมไปถึงเป็นการจัดเรียงเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบด้วย

Backlink หรือ ลิงก์ภายนอก คือลิงก์ที่จะนำพาผู้ชมจากเว็บอื่นมายังเว็บไซต์ของคุณเองได้แบบง่าย ๆ โดยการทำ SEO บางคนคิดว่า Backlink ไม่สำคัญ แต่ไม่ใช่เลย เพราะเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ให้ความสำคัญกับ Backlink เป็นอย่างมาก ยิ่งเว็บไซต์ใดมี Backlink มากเท่าไร ยิ่งบ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และทำให้เว็บดังกล่าวถูกจัดอันดับสูงขึ้นได้เรื่อย ๆ

แต่ทั้งนี้การใช้งาน Backlink ควรเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพราะ Backlink ที่ไม่มีคุณภาพ เชื่อมโยงมาจากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้อง จะทำให้เว็บไซต์ของคุณที่ทำ SEO อยู่โดนลดคะแนน และถูกลดความน่าเชื่อถือ จนนำไปสู่การถูกจัดอันดับให้ลดลงไปอีกขั้น
ดังนั้นผู้ที่ทำ SEO และต้องการใช้งาน Backlink ควรเลือกใช้งานและสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ ที่เชื่อมโยงกันด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง การทำแบบนี้จะส่งผลดีต่อเว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้ในระยะยาวไม่ว่าจะเป็นเรื่องความน่าเชื่อถือ หรือการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมผ่านลิงก์ด้วยเช่นกัน


11. การเพิ่มและใช้งาน Schema Markup

Schema Markup คือชุดโค้ดคำสั่งเล็ก ๆ ที่จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น และทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถแสดงเนื้อหาบนหน้าผลการค้นหาของ Google ได้อย่างเด่นชัด ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ Schema Markup ในการระบุว่าเว็บของคุณเป็นเว็บขายสินค้า หรือเว็บบล็อกที่ให้ความรู้ ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้ผู้เข้าชมได้รู้ทันทีก่อนกดเข้าชมเว็บไซต์ ว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บเกี่ยวกับอะไร ถ้าหากสร้างความสนใจได้ ก็จะเรียกยอดเข้าชมจากผู้ใช้งานได้ง่าย ๆ

กล่าวได้ว่า Schema Markup เป็นเทคนิคลับในการทำ SEO ที่มาช่วยให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google เข้าใจได้ง่ายขึ้น และพร้อมทำการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณให้ได้ดีและง่ายกว่าเดิม รวมไปถึงยังสามารถสร้างความน่าสนใจและความประทับใจให้แก่ผู้ค้นหาด้วย



บทสรุป 11 วิธีทำ SEO ด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ

บทสรุป 11 DIY วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง

การทำ SEO ด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หากคุณได้รู้จัก 11 วิธีทำ SEO ด้วยตัวเองที่ทางเราได้แนะนำไป แน่นอนว่าการทำ SEO แบบเจาะลึกมีขั้นตอนและกระบวนการที่มากกว่านี้ แต่ทั้งหมด 11 วิธีเป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายและสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
ไม่ต้องเสียเงินไปจ้างบริษัทรับทำ SEO มาทำให้ สิ่งสำคัญในการทำ SEO ด้วยตัวเองคือคุณต้องมีเวลา ความอดทน และลงมือทำอย่างต่อเนื่อง เพราะการทำ SEO ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ทันตา แต่ต้องใช้ระยะเวลากว่าจะปรากฏผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ถ้าคุณยึดถือและปฏิบัติตามเคล็ดลับที่ทางเราแนะนำไป คุณจะเห็นผลในปรับปรุงอันดับเว็บไซต์บนเครื่องมือค้นหาอย่าง Google แน่นอน แค่เพียงแค่อดใจ อดทน และลงมือทำอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

Search
Categories