ความแตกต่างระหว่าง Off-page และ On-page ที่นัก SEO ขั้นเทพต้องควรรู้

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
Off-page และ On-page

หากคุณเป็นบุคคลหนึ่งที่อยากจะเขียนบทความ SEO ให้ขั้นเทพติดอันดับการค้นหาใน google เราอยากจะบอกว่ามันอาศัยความน่าสนใจของเนื้อหา และ Keyword ที่ครอบคลุมการค้นหา ทั้งสองอย่างไม่พอ แต่มันต้องอาศัยปัจจัยทั้งภายนอกรวมถึงปัจจัยอื่น ๆ มาช่วยเสริมทัพให้บทความของคุณติดอันดับการค้นหาได้นานยิ่งขึ้น เราขอเรียกตัวช่วยเรานี้ว่า Off-page และ On-page ถ้าพร้อมแล้วไปทำความรู้จักกับตัวช่วยเหล่านี้กันเลย

Contents hide

Off-page SEO คืออะไร แล้ว Off-page ใช่การปิดเพจเว็บไซต์หรือเปล่านะ

Off-page SEO คืออะไร

หากเอ่ยถึงตัวช่วย Off – page เราเชื่อว่าอาจจะมีผู้อ่านบางท่านเกิดความสงสัยว่า Off-page นั่นใช่แบบเดียวกับการปิดเพจเว็บไซต์หรือเปล่า เราอยากจะบอกว่า Off-page ไม่ใช่การปิดเพจเว็บไซต์

แต่ Off-page คือการปิดเครื่องมือการปรับแต่งเว็บที่เชื่อมโยงกับระบบ Search Engine ของอัลกอริทึ่มใน google เมื่อปิดเครื่องมือการปรับแต่งเว็บไซต์ นั่นหมายความว่า เราต้องขอความช่วยเหลือจากเครื่องภายนอกเพิ่มเติม เพื่อมาเสริมทัพให้บทความ SEO ของเราโดดเด่นมากขึ้น

แล้วการขอความช่วยเหลือจากเครื่องมือภายนอกมีอะไรบ้างล่ะ เราจะมาเรียนรู้กลยุทธ์ไปทีละข้อกัน


เป็นกลยุทธ์ที่ดึงเว็บไซต์อื่นที่ได้รับความน่าเชื่อถือ มาเป็นแหล่งอ้างอิงให้กับบทความ SEO ของเราดูเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งการจะดึงเว็บไซต์อื่นมาช่วยอ้างอิงนั้นควรพิจารณา 2 อย่าง ได้แก่

อิทธิพลของเว็บไซต์นั้น ( Authority Backlink) เช่น เว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยม หรือ ผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งเว็บไซต์ที่มีผู้เยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก เปรียบเสมือนบุคคลสาธารณะ

ที่เวลาทำอะไรมักได้รับความสนใจ หรือ เป็นต้นแบบให้กับประชาชนส่วนใหญ่ ถ้าบทความ SEO ของคุณมีการ Link Building กับเว็บไซต์ที่มีอิทธิพล จะส่งผลให้บทความของคุณได้รับความน่าเชื่อถือจากผู้มาเยี่ยมชมมากขึ้น จนเกิดการแชร์ต่อไปในสังคมออนไลน์

 

เว็บไซต์ที่มาจากอุตสาหกรรมเดียวกัน ( Relevant Backlink) เช่น หากคุณเขียนบทความเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในกรุงเทพ เว็บไซต์ที่จะนำมาอ้างอิงในบทความควรเป็น เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพคล้าย ๆ กับบทความ SEO ของคุณ

เพราะเวลาผู้เยี่ยมชมเข้ามาอ่านเขาจะรู้สึกเชื่อมั่นในบทความของคุณมากขึ้น ว่าเนื้อหาบทความของคุณนำเสนอบทความไปในทิศทางเดียวกับบทความของเว็บไซต์อื่น สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลร่วมกันได้

2. กลยุทธ์ Influencer Marketing หรือ กลยุทธ์โปรโมทเว็บไซต์ผ่านคนดัง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้อิทธิพลของโซเชียลมีเดียมันได้สร้าง lnfluencer ให้เกิดใหม่มากมาย lnfluencer บางท่านโด่งดังและเป็นที่รู้จักเทียบเท่ากับนักแสดงนักร้องในปัจจุบันเลย ฉะนั้นการทำการตลาดผ่าน Influencer จึงเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ เพราะ Influencer มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก

ซึ่งผู้ติดตามเหล่านี้เปรียบเสมือนกลุ่มเป้าหมายในการโปรโมทสินค้าและบริการ ส่วน Influencer เปรียบเสมือนตัวกระตุ้นที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้หันมาสนใจสินค้าหรือบริการมากขึ้น เพราะ Influencer มักมีวิธีการพรีเซนต์สินค้าให้มีความน่าสนใจ

รวมถึงข้อได้เปรียบของการเป็นบุคคลสาธารณะ คือ ได้รับความน่าเชื่อถือ และ เป็นต้นแบบให้กับประชาชน ซึ่งการเป็นต้นแบบให้กับประชนนี่แหละทำให้เวลา Influencer ถ่ายรูปสินค้า หรือ โปรโมทความสนใจในด้านต่าง ๆ ล้วนส่งผลให้ประชาชนอยากทำตามอย่าง Influencer ที่เขาชื่นชอบ

3. กลยุทธ์ Content Marketing หรือ กลยุทธ์ดึงดูดผู้คนผ่านเรื่องราว

ผู้เขียนเคยได้ยินนักเขียนรุ่นใหญ่ในวงการวรรณกรรมท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า สังคมมนุษย์คือสังคมแห่งการเล่าเรื่อง เพราะเรื่องเล่าคือสะพานในการเชื่อมสังคมมนุษย์ให้ร้อยโยงกัน เรื่องเล่าไม่ใช่สิ่งที่มีไว้สำหรับความบันเทิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรื่องเล่ายังทำให้มนุษย์เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ร่วมกันได้อีกด้วย

ฉะนั้นการวางกลยุทธ์ดึงดูดผู้คนผ่านเรื่องราวจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญร่วมสมัยเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเนื้อหาบทความ SEO ของคุณ นำเสนอกลยุทธ์การเล่าเรื่องที่น่าสนใจ รวมถึงสร้างปฎิสัมพันธ์เชื่อมโยงกับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม ย่อมส่งผลให้บทความ SEO ของคุณมีความโดดเด่น และถูกแชร์ต่อจนเกิดความแมสได้ไม่ยาก

4. กลยุทธ์ Social Media หรือที่รู้จักกันดีว่า การได้รับความสนใจในโซเซียลมีเดียนั่นแหละ

ซึ่งกลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ที่นักทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ 99.99 % ล้วนคาดหวังเป็นอย่างมาก ว่าเว็บไซต์ของสินค้าหรือบริการที่ได้จ้างเอเจนซี่สำหรับเขียนบทความ SEO จะได้รับการตอบรับบนพื้นที่โซเชียลมีเดีย จนส่งผลให้ผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้กดคลิกเข้าไปอ่านเว็บไซต์ของธุรกิจ จนทำให้เว็บไซต์นั้นติดอันดับการค้นหาใน google

เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาย่อมส่งผลเว็บไซต์ได้รับความน่าเชื่อถืออีกด้วย ฉะนั้นการลงบทความ SEO ในโซเชียลมีเดียจึงเป็นเครื่องมือภายนอกที่สำคัญในการเสริมทัพเพิ่มความโดดเด่นให้กับบทความของคุณ แต่คุณต้องรู้ช่วงวลาในการลงบทความ SEO ประเมินว่าช่วงเวลาไหนเป็นช่วงที่ผู้คนส่วนใหญ่เล่นโซเชียลมีเดียมากที่สุด และควรเกริ่นนำในโพสเล็กน้อยเพื่อให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจเบื้องต้นกับเนื้อหาภายใน

นอกจากนี้อาจใส่แฮกแท็ก (#) ที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน เพื่อให้บทความของคุณได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

5. กลยุทธ์ Public Relation หรือที่รู้จักกันว่าการ PR เพื่อประชาสัมพันธ์นั่นเอง

คงต้องยอมรับว่าการ PR ยังเป็นวิธีร่วมสมัยในการทำการตลาดตั้งแต่ยุคอนาล็อกเรื่อยมาจนถึงยุคออนไลน์ครองเมืองเหมือนยุคปัจจุบัน ซึ่งการโปรโมทธุรกิจผ่านการ PR เป็นวิธีการยอดฮิตที่จะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณไปสู่การรับรู้ของกลุ่มเป้าหมายได้ในเวลารวดเร็ว

ถ้าคุณสนใจจะ PR บทความ SEO ผ่านการซื้อโฆษณาในโซเชียลมีเดีย ผลลัพธ์ด้านบวกที่คุณจะได้นอกจากการที่บทความได้เป็นที่รับรู้ของกลุ่มเป้าหมายภายในเวลาที่รวดเร็วแล้ว บทความของคุณอาจได้กลุ่มผู้ที่สนใจอื่น ๆ เข้ามาเยี่ยมชมเพิ่มเติมมากขึ้นอีกด้วย

สรุปกลยุทธ์ของ Off-page ที่จะเสกให้บทความ SEO ของคุณได้รับความสนใจมากขึ้น

กลยุทธ์ของ Off-page หรือ การประชาสัมพันธ์บทความSEO คือการอาศัยเครื่องมือภายนอกมาช่วยเสริมทัพให้บทความของคุณมีความโดดเด่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้บทความผ่านการอ้างอิงเว็บไซต์ที่มีผู้ติดตามมาก รวมถึงอ้างอิงเว็บไซต์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน , การประชาสัมพันธ์ผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียง, รวมถึงการซื้อโฆษณา และ ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย

ในเมื่อเราทำความเข้าใจกับ Off -page SEO รวมถึงการใช้กลยุทธ์จาก Off-page เพื่อเสริมทัพให้บทความของคุณโดดเด่นมากขึ้นแล้ว ต่อไปเราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับ On-page ซึ่งเป็นเครื่องมือภายในสำหรับปรับแต่งบทความให้ตอบโจทย์ Search Engine

On-page SEO คืออะไร แล้วมีกลยุทธ์แบบไหนบ้างในการสร้างความโดดเด่นให้กับบทความ

หลังจากที่เราได้เกริ่นนำไปคร่าว ๆ แล้วว่า On-page คือเครื่องมือภายในที่ใช้สำหรับการปรับแต่งบทความให้ Keyword ตอบโจทย์การค้นหาใน Search Engine ซึ่งการปรับแต่งบทความก็เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำความเข้าใจได้โดยง่าย

แต่ตอนปฎิบัติอาจจะต้องใช้ศิลปะในการจัดเรียงเข้ามาช่วยค่อนข้างมาก แต่เรามั่นใจว่าถ้าคุณฝึกฝนการปรับแต่งบทความตลอดเวลาคุณสามารถเก่งได้โดยไม่ยาก

On-page SEO คืออะไร

ส่วนที่ 1 Title (หัวเรื่อง)

การเขียนหัวเรื่องนั้น ควรเขียนคำ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในบทความ และควรมีการไล่เรียงลำดับความสำคัญของหัวเรื่อง จากข้อความที่มีความสำคัญมากไปจนถึงข้อความที่เป็นส่วนขยายความสำคัญนั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องเขียนบทความเกี่ยวกับเสื้อกันหนาว แสดงว่าคำ Keyword ใน Title ต้องมีคำว่า “เสื้อกันหนาว” เป็นข้อความที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก

ส่วนต่อมาคือข้อความที่ใช้ขยายความสำคัญ หรือเรียกให้เข้าใจง่ายคือ ข้อความที่บอกคุณสมบัติของสินค้า หรือ ความต้องการของผู้บริโภค เช่น เสื้อกันไซส์ XXL , เสื้อกันหนาวคุณภาพดี,เสื้อกันหนาวราคาถูก เป็นต้น ในส่วนของ Title ควรมีข้อความที่ไม่สั้น และ ไม่ยาวจนเกินไป (ประมาณ 60-70 ตัวอักษร)

ตัวอย่างเช่น เทคนิคการเลือกเสื้อกันหนาวคุณภาพดีราคาถูกสีสันสดใสเหมาะกับวัยรุ่นทั่วไป

ส่วนที่ 2 Description (ส่วนบรรยาย)

สำหรับการเขียนส่วนบรรยาย สิ่งสำคัญไม่แพ้การให้ข้อมูล นั้นคือเทคนิคการเล่าเรื่องที่ต้องเล่าให้สนน่าใจ เน้นการมีส่วนร่วมระหว่างเว็บไซต์และผู้เข้ามาเยี่ยมชม ส่วนการบรรยายนั้นควรเขียนKeyword ที่สำคัญรวมถึง Keyword ที่เกี่ยวข้องลงไปให้ครอบคลุม

เช่น Keyword ที่สำคัญคือ เสื้อกันหนาว Keyword ที่เกี่ยวข้องกัน คือ เทคนิคการเลือกซื้อเสื้อกันหนาว , วิธีการสังเกตุเสื้อกันหนาวที่มีคุณภาพ, ลายเสื้อกันหนาวแบบไหนโดนใจวัยรุ่น เป็นต้น

ส่วนที่ 3 Image (รูปภาพ)

การใส่รูปภาพถือเป็นส่วนสำคัญที่ดึงดูดให้ผู้เยี่ยมชมสนใจบทความของคุณมากขึ้น คุณลองจินตนาการดูว่าถ้าต้องอ่านเนื้อหาที่มีตัวอักษรจำนวนเยอะ แต่ไม่มีภาพประกอบให้คุณเลย มันจะน่าเบื่อมากแค่ไหน

ฉะนั้นการใส่รูปภาพลงไปในบทความจะทำให้บทความของคุณดูไม่น่าเบื่อ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มอรรรสในการเล่าเรื่องอีกด้วย ซึ่งคุณสามารถใส่ Keyword ลงไปใต้รูปภาพได้เลย

ส่วนที่ 4 Site Structure (การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์)

เมื่อคุณอ่านบทความมาจนถึงส่วนนี้เราเชื่อว่าคุณคงมีคำถาม ว่าการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ นั้นหมายถึงคุณต้องไปเรียนเขียนโค้ด หรือ เขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์หรือเปล่า? ซึ่งเราอยากจะบอกว่าคุณไม่ต้องไปเรียนเขียนโค้ดโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์เลย เพราะคุณคือนักเขียนบทความ SEO คุณไม่ใช่นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์

ซึ่งการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์นั้น มันเปรียบเสมือนการเขียนแผนผังโครงสร้างสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ ที่มีส่วนช่วยให้บทความ SEO ของคุณ ถูก google bot เข้าใจเนื้อหาในไซต์ได้อย่างชัดเจนและเห็นภาพมากขึ้น นำไปสู่การเชื่อมโยงกับ Search Engine ส่งผลให้บทความของคุณติดอันดับการค้นหาใน google

และคุณสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของ Site Structure ได้ในบทความนี่เลย หลักการออกแบบ Site Structure ในการทำ SEO

สรุปกลยุทธ์ของ On-page ที่จะมาปรับแต่งให้บทความของคุณขั้นเทพมากขึ้น

On-page คือเครื่องมือภายในที่ใช้สำหรับการปรับแต่งบทความให้ Keyword ตอบโจทย์การค้นหาใน Search Engine ซึ่งการปรับแต่งบทความสามารถใส่ Keyword ที่สำคัญรวมถึง Keyword ที่เกี่ยวข้องลงไปใน Title, Description, Image เพื่อให้ Keyword ถูกจับคู่กับ Search Engine

ส่งผลให้บทความของคุณติดอันดับการค้นหาใน google นอกจากนี้ออกแบบ Site Structure สำหรับการเขียนบทความยังมีส่วนช่วยให้บทความของคุณสามารถถูก google bot เข้าใจเนื้อหาในไซต์มากขึ้นอีกด้วย

ทำไมนักเขียนบทความ SEO ควรให้ความสำคัญกับการทำ Off-page และ On-page

ความสำคัญในการทำ-Off-page-และ-On-page

ถ้าเปรียบบทความ SEO เป็นสินค้า และเราซึ่งเป็นนักเขียนต้องการให้บทความของเรากลายเป็นที่รู้จักหรือได้รับความสนใจจากลุ่มเป้าหมาย เราควรต้องทำ Off-page และ On-page ซึ่งเปรียบเสมือนการทำการตลาด เพื่อให้บทความของเราบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางเอาไว้มากขึ้น

การปรับแต่งเนื้อหาใน On-page เปรียบเสมือนการทำการตลาดภายในเรื่องคุณสมบัติของสินค้า ซึ่งเราจำเป็นต้องปรุงแต่งคุณสมบัติของสินค้าให้ออกมาตรงกับความต้องการของเป้าหมายมากที่สุด

ส่วน Off-page เปรียบเสมือนการโปรโมทสินค้าผ่านช่องทางที่หลากหลายเพื่อให้สินค้าของเรากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น สรุปโดยง่ายคือ Off-page และ On-page เปรียบเสมือนการทำการตลาดของบทความ SEO นั่นแหละ

หากคุณเป็นบุคคลหนึ่งที่อยากจะเขียนบทความ SEO ให้ขั้นเทพจนติดอันดับการค้นหาใน google…

เราเชื่อว่า การเรียนรู้และการค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับ Off-page และ On-page ไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้ยากจนเกินไป การเรียนรู้การใช้ On-page มันเปรียบเสมือนการอาศัยเครื่องมือภายในของระบบ Search Engine เพื่อให้บทความติดอันดับการค้นหามากขึ้น

ส่วนการทำความเข้าใจกับ Off-page มันเปรียบเสมือนการอาศัยเครื่องมือภายนอกมาประชาสัมพันธ์ให้บทความของคุณได้รับความน่าเชื่อถือรวมถึงกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น สุดท้ายนี้ก่อนจากกันเราเชื่อว่าหากคุณพยายามศึกษาเพื่อทำความเข้าใจกับ Off-page และ On-page สองสิ่งนี้จะส่งผลให้บทความของคุณติดอันดับการค้นหาใน google รวมถึงบรรลุวัตถุประสงค์ที่คุณวางเอาไว้ได้ไม่ยาก

 

Search
Categories