การทำ SEO กลายเป็นสิ่งสำคัญที่เว็บไซต์ทุกแห่งควรต้องให้ความใส่ใจ เพราะใครต่างก็อยากให้เว็บของตัวเองได้ขึ้นอยู่บนหน้าการค้นหาชื่อดังอย่าง Google ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดเลยในการทำ SEO คือการเขียนเนื้อหาหรือทำ Content บทความรูปแบบต่าง ๆ มาประกอบบนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งมีหัวใจหลักสำคัญที่เรียกกันว่า Keyword (คีย์เวิร์ด) อย่างไรก็ตาม บางคนอาจจะยังไม่ได้รู้วิธีการใช้คำหลักที่ถูกต้องสักเท่าไร ในกรณีที่เจอคำหลักที่มากกว่า 2 คำหรือเป็นวลี ดังนั้นในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ Keyword proximity ว่ามันคืออะไร และทำไมถึงสำคัญกับการทำ SEO จนนักเขียน SEO ต้องรู้จักไว้
Keyword proximity คืออะไร ?
Keyword proximity หมายถึง ระยะห่างระหว่างคีย์เวิร์ด (Keyword) โดนในเชิงความหมายของทาง SEO แล้วคือความใกล้ชิดของคำหลักที่มีมากกว่าสองคำขึ้นไปยกตัวอย่างเช่น “อาหารหมา” การวางคำหลักในข้อความหรือเนื้อหาเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการทำ SEO เพราะจะทำให้เว็บไซต์ขึ้นติดบนผลการค้นหาของทาง Google ยิ่งคำหลักวางใกล้ชิดกันมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสที่จะทำให้เว็บไซต์ได้ไปแสดงผลบนผลการค้นหา SERP (Search Engine Results Page) มากขึ้น
เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น คีย์เวิร์ดคือคำว่า “อาหารหมา” ซึ่งประกอบไปด้วยสองคำระหว่าง “อาหาร กับ “หมา” แน่นอนว่าในกรณีที่นำมาใช้ในการเขียนเนื้อหา SEO บางครั้งคำหลักสองคำ อาจจะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน หรือมีคำมาแทรกกลางคีย์เวิร์ดนั้น เช่นคำว่า “อาหาร” อยู่ในย่อหน้าแรก แต่คำว่า “หมา” อยู่ในย่อหน้าที่สาม Google จะเข้าใจว่าเนื้อหาที่เขียนมานั้นเกี่ยวข้องกับคำว่า “อาหารหมา” แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่ากับเนื้อหาที่มีคำว่า “อาหารหมา” แบบอยู่ติดกัน เป็นต้น
รูปแบบของ Keyword proximity
การใช้คีย์เวิร์ดในเนื้อหา Content นับเป็นหัวใจหลักสำคัญของการทำ SEO เลยก็ว่าได้ ดังนั้นการเข้าใจรูปแบบต่าง ๆ ของ Keyword proximity (ความใกล้ชิดของคำหลัก) จะช่วยให้คุณทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. Proximity in SEO
รูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด โดยยิ่งเนื้อหามีคำหลักใกล้ชิดกันมากเท่าไร ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวข้องกับคำหลักนั้นมากขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดคือ “อาหารหมา” และนำมาเขียนเป็นเนื้อหา “อาหารของหมาเป็นสิ่งที่คนเรา ควรต้องใส่ใจเป็นอย่างดี” จากตัวอย่างเนื้อหา คีย์เวิร์ดจะไม่ได้ใกล้ชิดกันมาก มีคำว่า “ของ” มาแทรกกลางคีย์เวิร์ด แต่ไม่ได้ทำให้ใจความสำคัญและความหมายของเนื้อหาของคีย์เวิร์ดเปลี่ยนไป ซึ่งทาง Google ก็จะยังมองและเข้าใจว่าเนื้อหาที่กล่าวมายังเกี่ยวกับ “อาหารหมา”
2. Average proximity
รูปแบบที่คำหลัก ที่มักจะมีระยะห่างกัน แต่ไม่มากนัก โดยจะมีคำมาแทรกกลางหรือคั่นกลางคีย์เวิร์ดเฉลี่ย 3 – 5 คำ ยกตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดคือ “อาหารหมา” และมีเนื้อหาคือ “ในยุคที่ล้ำหน้าแบบนี้ อาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่คนเลี้ยงหมาควรใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง” ซึ่ง Google จะมองและยังเข้าใจว่าคำหลักนี้ว่ายังเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เขียนมา แต่จะไม่ได้ให้ความสำคัญมากเท่าไรนัก
3. Close proximity
รูปแบบการใช้งานความใกล้ชิดคำหลักที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะประเภทคีย์เวิร์ดนี้คือการที่คีย์เวิร์ดไม่มีคำหรือวลีอะไรมาแทรกกลาง ยกตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดคือ “อาหารหมา” และมีเนื้อหาดังนี้ “อาหารหมาที่ดี ต้องใส่ใจและดูแลสุนัขของคุณได้ครบรอบด้าน” จากเนื้อหาจะเห็นได้ว่า คีย์เวิร์ดไม่ได้ถูกแทรกคำหรือวลีแต่อย่างใด โดยรูปแบบการเขียนและใช้คำหลักแบบนี้ ค่อนข้างให้น้ำหนักกับทาง Google ได้เป็นอย่างดี เพราะ Google เข้าใจเนื้อหาของคีย์เวิร์ดได้อย่างตรงไปตรงมา และช่วยผลักดันให้เว็บแสดงผลบนหน้าการค้นหาได้ง่ายกว่าเดิม
ทำไม Keyword proximity ถึงสำคัญกับการทำ SEO
Keyword proximity นับเป็นเทคนิคที่สำคัญอย่างมากสำหรับเว็บไซต์ที่ทำ SEO และสร้างบทความเนื้อหามาประกอบ เพื่อให้เว็บไซต์ได้ขึ้นติดอันดับหน้าแรกของทาง Google ได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันคีย์เวิร์ดที่มีคำเป็นวลีจะได้รับความนิยมในการใช้งานการค้นหาค่อนข้างสูง และทาง Google จะให้คะแนนคีย์เวิร์ดเหล่านี้ได้ดี ถ้าหากคีย์เวิร์ดที่เลือกมาสอดคล้องกับเนื้อ นอกจากนี้ในมุมมองของเว็บไซต์ คีย์เวิร์ดที่เป็นวลีจะช่วยเสริมความเข้าใจและสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี
แต่อย่างไรก็ดี การจดจ่อและคิดจะใช้เทคนิคนี้แต่เพียงอย่างเดียวในการเขียนเนื้อหาของเว็บไซต์ อาจจะทำให้ตัวเนื้อหาของคุณไม่ดูน่าอ่านได้ เพราะในแง่มุมหนึ่งเทคนิคนี้ส่งผลดีต่อการทำ SEO ได้ดีเป็นอย่างมาก แต่ในมุมมองของผู้อ่านหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ หากมาเจอเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ หรือเขียนดูไม่เป็นธรรมชาติ จนเกิดความรู้สึกไม่อยากอ่านต่อ แล้วกดออกจากเว็บไซต์ การกระทำนี้จะส่งผลให้ Bounce Rate ของเว็บไซต์เพิ่มขึ้น จนอันดับบนผลการค้นหา (SERP) นั้นลดลงได้ ดังนั้นผู้เขียนหรือผู้ทำเนื้อหาลงเว็บไซต์ที่ทำ SEO ควรรู้จักและวางแผนเนื้อหาที่จะเขียนให้ดี และวางตำแหน่งคีย์เวิร์ดให้เรียบร้อย ให้เนื้อหาดูมีความเป็นธรรมชาติที่สุด
วิธีการใช้ Keyword proximity เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้าน SEO
แม้ว่าตัว Keyword proximity จะเป็นหนึ่งในวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการทำ SEO ที่ดีให้กับเว็บไซต์มากแค่ไหน แต่หากไม่รู้จักวิธีการใช้งานที่ถูกต้องและเหมาะสม อาจทำให้คะแนนเว็บไซต์ลดลงจนนำไปสู่อันดับบนผลการค้นหาลดลงได้ ดังนั้นในครั้งนี้เราจะมาแนะนำวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง ในการมาช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ได้เป็นอย่างดี
1. การกำหนด Keyword ให้มีความใกล้ชิด
เมื่อมีการเขียนหรือปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ สิ่งสำคัญแรกเลยคือการใช้คีย์เวิร์ด (Keyword) ที่มีความใกล้ชิด หรือมีความหมายต่อเนื่องหรือใกล้เคียงกับเนื้อหา เพราะสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์คำค้นหาและเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดคือ “ร้านกาแฟ” ในเนื้อหาสามารถใช้ “ร้านกาแฟเชียงใหม่ที่เปิดมานานกว่า 10 ปี” ซึ่งจะช่วยเพิ่มความใกล้ชิดกับคีย์เวิร์ดได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะทำให้ทาง Google เข้าใจและมองว่า คีย์เวิร์ดนี้มีความสอดคล้องกับเนื้อหา และให้น้ำหนักมากพอที่จะเพิ่มคะแนนให้กับเว็บไซต์
2. การวางแผน และจัดเรียง Keyword
แม้การใช้คียเวิร์ดจะเป็นหนึ่งในวิธีการที่จะช่วยเพิ่มอันดับให้กับเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี แต่ต้องใช้ในรูปแบบที่ถูกต้อง และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยการวางแผน และจัดเรียงเนื้อหา ลำดับคีย์เวิร์ดให้มีความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นช่วงย่อหน้าแรกของเนื้อหา หรือตามหัวข้อ H1, H2 หรือระวังไม่ให้คีย์เวิร์ดมีมากเกินไป รวมไปถึงการวางแผนให้คีย์เวิร์ดนั้นไม่อยู่ห่างกันจนเกินไปด้วย ไม่เช่นนั้นคีย์เวิร์ดดังกล่าวอาจจะไม่มีน้ำหนักมากพอที่ทาง Google จะให้คะแนน
3. ใช้เนื้อหาที่มีคุณภาพ
ไม่ว่าจะใช้เทคนิคหรือวิธีการใด หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำ SEO คือการทำเนื้อหาให้มีคุณภาพ เพราะเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มอบประโยชน์แก่ผู้ใช้งานหรือผู้เข้าชม Google จะไม่ให้ความสำคัญ และปัดทิ้งตกได้ ดังนั้นไม่ว่าจะใช้คีย์เวิร์ดแบบใดหรือคำไหน ควรออกแบบและสร้างเนื้อหาให้มีคุณภาพ มอบประโยชน์ต่อผู้ใช้งานหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้
บทสรุป Keyword proximity เทคนิคคำหลักที่ต้องพึ่งระวัง
Keyword proximity ถือเป็นหนึ่งในวิธีการทำ SEO ที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าผลการค้นหาได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีสิ่งที่ต้องควรระวังไว้ด้วยเช่นกัน เพราะแม้วิธีการนี้จะช่วยได้ดี แต่หากใช้ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา การยัดใส่คีย์เวิร์ดที่เป็นวลีลงไปในเนื้อหาที่มากเกินไป หรือเว้นระยะห่างของคีย์เวิร์ดมากเกินไป การกระทำเหล่านี้อาจถูกจัดได้ว่าเป็นเนื้อหาสแปม ซึ่งนำไปสู่การทำให้เว็บไซต์คะแนนลดลง จนอันดับตกได้ ดังนั้นการจะใช้คีย์เวิร์ดควรศึกษาอย่างถูกต้อง และเข้าใจเป็นอย่างดีก่อน จึงจะนำมาใช้งานจริงได้
แต่ถ้าหากการใช้คีย์เวิร์ดมันให้ความรู้สึกยากเกินไป หรือยุ่งยากเกินไป การเลือกใช้บริการรับทำ SEO ที่ดูมีความเป็นมืออาชีพก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน ที่จะช่วยให้คุณประหยัดเวลา และยังทำให้เว็บไซต์ของคุณเดินหน้าต่อไปได้ดีบนการทำ SEO