รู้จัก A/B Testing ก่อนปรับปรุงเว็บไซต์ สำคัญแค่ไหนกับการทำ SEO

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
รู้จัก A/B Testing ก่อนปรับปรุงเว็บไซต์ สำคัญแค่ไหนกับการทำ SEO-01

ในยุคออนไลน์ที่ใครต่างก็เข้าชมและท่องโลกเว็บไซต์ เว็บไซต์จึงเปรียบเสมือนเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างคุณกับผู้คนทั่วโลก ดังนั้นการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ให้แสดงอย่างมีคุณภาพเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้คน จึงกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่คนทำเว็บไซต์ต้องเข้าใจกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการทำ SEO ที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ไต่อันดับสูงขึ้นได้บนเครื่องมือการค้นหา (Search Engine) แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าการปรับปรุงเว็บไซต์ในแต่ละครั้ง จะส่งผลดีต่อการทำ SEO และผู้เข้าชมได้ดีพอหรือไม่ ?
ดังนั้นคุณควรต้องรู้จักกับ A/B Testing วิธีการที่เหล่านักพัฒนาและผู้ทำเว็บไซต์รู้จักกันดี ในการมาช่วยปรับปรุงพัฒนาและผลักดันเว็บไซต์ที่ทำ SEO ให้ดีที่สุด

โดยในบทความนี้เราจะพาไปหาคำตอบกันว่าวิธีการ Testing นี้คืออะไร แล้วทำไมถึงเป็นกระบวนการสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับเว็บไซต์ที่ทำ SEO

A/B Testing คืออะไร

การทดสอบ A/B คืออะไร


A/B Testing เป็นกระบวนการทดสอบที่ใช้ในการวัดผลการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยใช้การเปรียบเทียบระหว่างเวอร์ชันสองแบบที่แตกต่างกัน (หรือมากกว่าสองแบบ) เพื่อดูว่าเวอร์ชันแบบไหนตอบโจทย์และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น หน้าเว็บไซต์มีปุ่มกดอยู่ปุ่มหนึ่ง แล้วให้เวอร์ชัน A เป็นปุ่มกดสีเขียว เวอร์ชัน B เป็นปุ่มกดสีแดง แล้วทำการทดสอบให้ผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งได้ลองใช้เว็บไซต์เวอร์ชันใดเวอร์ชันหนึ่ง เพื่อทดสอบดูว่าเวอร์ชันไหนตอบโจทย์การใช้งานได้ดีมากกว่ากัน โดยอาจวัดได้หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ยอดการเข้าชม ยอดการมีส่วนร่วมต่าง ๆ รวมไปถึงระยะเวลาการอยู่บนหน้าเว็บไซต์ การทำแบบนี้จะทำให้คุณรู้ได้ว่าเว็บไซต์ควรปรับปรุงและพัฒนาไปในทิศทางใด และจุดใดบ้างที่ตอบโจทย์ในการใช้งานอยู่แล้ว ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ไม่จำเป็นต้องคิดมากในเรื่องการปรับปรุงและพัฒนาตัวเว็บไซต์


ทำไม A/B Testing ถึงสำคัญกับการปรับปรุงเว็บไซต์ที่ทำ SEO

รู้จักการทดสอบ A/B  ถึงสำคัญ


หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมการทำ Testing ถึงสำคัญกับเว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างแรกที่ต้องเข้าใจตรงกันเลยคือ การทดสอบแบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำให้ได้เว็บไซต์อยู่รูปแบบที่ดีที่สุดแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้เราสามารถทดสอบและวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจจะมีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์บนเครื่องมือการค้นหาได้ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าการทดสอบ ส่งผลดีต่อเว็บไซต์ได้ในหลายด้าน ๆ เลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น

1. ช่วยเพิ่มยอด Traffic
เป้าหมายสำคัญของเว็บไซต์ที่ทำ SEO คือ การที่มีผู้ใช้งานกดเข้าชมเว็บไซต์ เพื่อดูเนื้อหาต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องการ การทดสอบ A/B จะช่วยให้คุณได้เว็บไซต์ที่เข้าถึงมุมมองของผู้ใช้งาน จนสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้แก่ผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก และจะช่วยสร้างการจดจำ จนทำให้มีผู้เข้ามาแวะเวียนและใช้งานเว็บไซต์ของเราอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้ขึ้นติดยอดอันดับหน้าค้นหาได้ง่ายขึ้นด้วย

2. เพิ่ม Conversion ได้ดี
การทดสอบ A/B ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องการเพิ่มยอดเข้าถึงแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมและใช้งานฟังก์ชันและฟีเจอร์ต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้มากกว่าปกติอีกด้วย เพราะการทดสอบ A/B จะช่วยคุณได้รู้ทันที ว่าสีอะไร รูปแบบการจัดวางแบบไหน จึงจะทำให้ผู้ใช้งานมีปฏิสัมพันธ์กับหน้าต่างและปุ่มกดต่าง ๆ ของเว็บไซต์มากที่สุด

3. ลดคะแนน Bounce Rate
สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณตอบโจทย์การใช้งานของผู้เข้าชมได้เป็นอย่างดี เลยคือ ช่วงระยะเวลาในการอยู่และใช้งานบนหน้าเว็บ ยิ่งมีเวลามากเท่าไร ยิ่งบ่งบอกว่าเว็บไซต์ที่ทำ SEO นั้นมีคุณภาพในระดับที่ผู้ใช้งานติดใจจนอยู่ใช้งานได้ยาว ๆ นอกจากนี้การที่ทำให้ผู้ใช้งานเข้าชมอยู่บนหน้าเว็บไซต์ได้นาน ๆ จะช่วยลดคะแนน Bounce Rate ที่เป็นส่วนสำคัญกับเว็บไซต์ที่ทำ SEO ด้วย เพราะยิ่งคะแนน Bounce Rate น้อยเท่าไร ยิ่งทำให้เว็บไซต์ขึ้นติดอันดับหน้าค้นหาได้มากขึ้นเท่านั้น

4. เพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดี
เป้าหมายหลักของการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ที่ทำ SEO คือการให้ได้ตัวเว็บไซต์อยู่ในรูปแบบที่ดีที่สุด ซึ่งนั้นหมายถึงการที่เว็บไซต์นั้นต้องตรงกับการใช้งานของผู้เข้าชมมากที่สุดเช่นกัน ดังนั้นการทำทดสอบ A/B จึงเป็นเหมือนดั่งเป้าหมายหลักแต่เดิม เพื่อให้เว็บไซต์เพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้แก่ผู้เข้าชม


A/B Testing มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง ?

การทดสอบ A/B Testing มีขั้นตอนทำอย่างไร?


การทดสอบเป็นกระบวนการทดสอบที่สำคัญมากในการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อให้ได้ตัวเว็บในรูปแบบที่ดีที่สุด ดังนั้นการรู้ลำดับขั้นตอนในการทำงานของการทดสอบดังกล่าว เพื่อนำไปใช้งานจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้กับคนที่ทำเว็บไซต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการทำ SEO มาลองดูกันเลยดีกว่าว่าการทำ Testing มีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง

1. กำหนดเป้าหมาย
ขั้นตอนแรก คือการกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการทดสอบ เช่น อยากให้มีผู้ใช้งานกดตรงปุ่มนี้มากขึ้น, ผู้เข้าชมสินค้าและซื้อสินค้ามากขึ้น หรือการวางรูปแบบการวางเนื้อหาให้น่าดึงดูด การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณสามารถทดสอบเว็บไซต์ได้ตรงจุด และเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น

2. เริ่มทำการทดสอบ
หลังจากกำหนดเป้าหมายที่ต้องการได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปนี้คือการเริ่มทำการทดสอบ โดยการสร้างแบบทดสอบเว็บเวอร์ชัน A และ B ที่มีความแตกต่างกัน และนำมาแสดงผลให้แก่ผู้ใช้งานในกลุ่มที่แตกต่างกัน เช่น เวอร์ชัน A ทดสอบกลุ่มคน 50 คนแรก เวอร์ชัน B ทดสอบกลุ่ม 50 คนหลัง

3. วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้
ผ่านขั้นตอนการทดสอบมาได้แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบ โดยดูว่าเว็บไซต์เวอร์ชันไหนตอบโจทย์เป้าหมายหลักของเราได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทั้งในการด้านการเข้าถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ หรือพฤติกรรมการใช้งานของผู้เข้าชม

4. ปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดี
หลังจากการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงเว็บไซต์ โดยทำการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในจุดที่พบว่าให้ผลที่ดีที่สุดในการทดสอบ ยกตัวอย่างเช่น ปุ่มสีแดง มีผู้กดใช้งานมากกว่า 70% แต่ปุ่มสีเขียวมีกดใช้งานเพียงแค่ 30% ก็เลือกปรับปรุงปุ่มกดในเว็บไซต์ให้เป็นสีแดง เป็นต้น


A/B Testing มีกี่รูปแบบ

 A/B Testing มีกี่รูปแบบ


การทดสอบ ไม่ได้มีเพียงแค่รูปแบบเวอร์ชัน A และ B แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีความหลากหลายที่ต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการทดสอบและความต้องการที่แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้วการทดสอบ A/B แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลัก ดังต่อไปนี้


1. Standard Testing

การทดสอบโดยแบ่งผู้ใช้งานเข้าสู่กลุ่มต่าง ๆ แล้วแสดงหน้าเว็บไซต์ที่มีการออกแบบหรือเนื้อหาที่แตกต่างกันให้แก่กลุ่มเหล่านั้น โดยเป็นการทดสอบเพียงองค์ประกอบเดียวเท่านั้น เช่น หัวข้อ, สี, ภาพ หรือข้อความ เพื่อดูว่าองค์ประกอบของเวอร์ชันไหนมีประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นยอด Traffic , Conversion Rate เป็นต้น

Standard A/B Testing

ภาพประกอบ Standard Testing
ที่มา : https://digitalcommunications.wp.st-andrews.ac.uk/2016/12/19/testing-your-website-with-google-optimize/

……………………………………………………………………………………..


2. Multivariate Testing (MVT)

รูปแบบการทดสอบที่มากกว่า 1 องค์ประกอบ โดยจะจัดทำหน้าต่าง ๆ ของหน้าเว็บไซต์ทั้งเวอร์ชัน A และ B ที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงที่นำเสนอในแต่ละหน้า จะมีผลตอบรับจากผู้ใช้งานอย่างไร

Multivariate Testing

ภาพประกอบ Multivariate Testing (MVT)
ที่มา : https://digitalcommunications.wp.st-andrews.ac.uk/2016/12/19/testing-your-website-with-google-optimize/

……………………………………………………………………………………..


3. Redirect Testing

รูปแบบการทดสอบที่เปลี่ยนหน้าตาของเว็บไซต์ทั้งเวอร์ชัน A/B และให้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพื่อดูว่าเวอร์ชันไหนสามารถสร้างและตอบโจทย์เป้าหมายในการปรับปรุงพัฒนาเว็บไซต์มากที่สุด ซึ่งการทดสอบแบบนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เพราะการเปลี่ยนหน้าตาของเว็บไซต์ให้แตกต่างกันมากเกินไป อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์บางอย่างที่ผู้พัฒนาต้องการ

redirect-testing

ภาพประกอบ Redirect Testing
ที่มา : https://digitalcommunications.wp.st-andrews.ac.uk/2016/12/19/testing-your-website-with-google-optimize/


Google Optimize เครื่องมือการทำ A/B Testing ที่ตอบโจทย์การทำ SEO

Google Optimize เครื่องมือการทำ A/B ที่ตอบโจทย์การทำ SEO


สำหรับการทำ Testing ย่อมจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่จะมาช่วยทดสอบให้ได้ และเครื่องมือที่ทางเราแนะนำเป็นอย่างยิ่งเลยคือ Google Optimize เครื่องมือที่จะทำให้คุณสามารถทดสอบ บนเว็บไซต์ของคุณได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ด้วยการทำงานร่วมกับ Google Analytics ที่จะทำให้คุณสามารถวัดผลและวิเคราะห์ผลการทดสอบได้ในทันที

หนึ่งในข้อดีของเครื่องมือ Google Optimize เลยคือความสามารถในการทดสอบแบบ Real-Time ที่ทำให้คุณสามารถดูผลลัพธ์การทดสอบได้ทันที พร้อมทำการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ได้อย่างทันท่วงที และยังมีฟังก์ชันพิเศษที่จะทำให้คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อวัดความสำเร็จด้านการทดสอบอีกด้วย

นอกจากนี้เครื่อง Google Optimize ยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ยืดหยุ่นและเข้ากันได้ดีกับเครื่องมืออื่น ๆ จากทาง Google ไม่ว่าจะเป็น Google Tag Manager หรือ Google Ads ทำให้คุณทำการทดสอบ พร้อมวัดผลลัพธ์การทำงานของเว็บไซต์คุณได้เป็นอย่างดี ดังนั้นหากใครกำลังมองหาเครื่องมือในการทดสอบแล้วละก็ ต้องไม่พลาด Google Optimize เครื่องมือจากทาง Google ที่พร้อมให้คุณปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีให้แก่ผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณได้อย่างเต็มที่


บทสรุป A/B Testing การทดสอบเพื่อปรับปรุงพัฒนาเว็บไซต์ทำ SEO

เมื่อเข้าใจในเรื่อง Testing จะทำให้เราได้รู้เลยว่าตัวทดสอบไม่ได้เป็นเพียงแค่กระบวนการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการที่สามารถช่วยให้เราทำ SEO ได้ดีขึ้นอีกด้วย เพราะการทดสอบจะช่วยให้เราสามารถเข้าใจถึงมุมมองของผู้ใช้งานได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เราสามารถสร้างเนื้อหาและออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะช่วยส่งผลให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นหากใครที่เป็นนักพัฒนาเว็บไซต์หรือมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง แล้วกำลังมองหาวิธีการที่จะช่วยให้ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี การทดสอบ A/B นับเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่จะตอบโจทย์การปรับปรุงพัฒนาเว็บไซต์ของคุณเลยทีเดียว

Search
Categories