หากลด Bounce rate ได้ ก็ส่งผลให้การทำ SEO พุ่งไปไกลขึ้น

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
หากลด Bounce rate ได้ ก็ส่งผลให้การทำ SEO พุ่งไปไกลขึ้น-01

เป็นธรรมดาที่คนทำเว็บไซต์ส่วนใหญ่อยากได้ยอด Traffic เพิ่มขึ้นซึ่งหมายถึง การที่ผู้คนได้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรามากขึ้น แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นหลายคนอาจเจอเหตุการณ์ที่ผู้เยี่ยมชมเปิดเข้ามายังเว็บไซต์ของเราและกดออกจากหน้าไปทันที ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะถูกนับเป็นการวัดค่า “Bounce rate” หรือที่เรียกกันว่า “อัตราการตีกลับ” ที่เป็นเหมือนดั่งตัวชี้วัดนี้คือสิ่งที่นักสร้างเว็บต่างให้ความสำคัญ

โดยในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักค่านี้กันให้มากขึ้น เพื่อดูว่ามันจะส่งผลอย่างไรกับการทำ SEO และจะมีวิธีใดที่ทำให้เว็บไซต์ของเราลด “อัตราการตีกลับ” ในส่วนนี้ลงได้

Bounce rate คืออะไร

Bounce rate หรือ อัตราการตีกลับ คือ อัตราการที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้เข้ามาเยี่ยมชมเพียงหน้าเดียวแล้วกดออกไปทันที โดยไม่ได้มีการสำรวจหน้าอื่น ๆ เพิ่มเติมเลยในเว็บไซต์ของคุณ ถ้าคุณมีอัตราการตีกลับที่สูง แสดงว่าเนื้อหาที่คุณนำเสนอไม่ตรงกับความต้องการของผู้เข้าชม, เว็บไซต์ของคุณอาจมีปัญหาในการใช้งาน หรือนำเสนอข้อมูลที่ยากเกินไปต่อการทำความเข้าใจ ไม่ได้ดึงดูดให้เข้าไปดูเนื้อหาอื่น เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานของเว็บไซต์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สาเหตุที่ค่าอัตราการตีกลับสำคัญเพราะถือเป็นตัวบ่งชี้ความน่าสนใจและคุณภาพของเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณโดยรวม

visitors


ที่มาของภาพ : https://www.searchenginejournal.com/website-bounce-rate/332439/


ยกตัวอย่าง: สมมติว่าคุณมี Blog เกี่ยวกับสูตรอาหาร แล้วมี User คนหนึ่งเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณผ่านการค้นหาของ Google และพบบทความสูตรอาหารที่เขาต้องการ หลังจากนั้นเขาเลือกศึกษาบทความนั้นเพียงบทความเดียวแล้วออกจากเว็บไซต์โดยไม่คลิกดูสูตรอาหารอื่นหรือหน้าอื่น ภายในเว็บไซต์ของคุณเลย กรณีนี้จะถือว่าเป็น “Bounce” ทันที

โดยอัตราตีกลับเฉลี่ย สำหรับเว็บไซต์ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 26% ถึง 70% ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของเว็บไซต์ด้วยเช่นกัน ว่ามีการสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใดในการใช้งานเป็นหลัก เพราะถ้าหากเปรียบเทียบระหว่างเว็บไซต์พจนานุกรมที่คนเข้ามาหาความหมายของคำเพียงคำเดียว กับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ขายสินค้าหลากหลาย คุณก็พอจะมองเห็นภาพว่าเว็บไซต์ลักษณะใดควรมีค่า Bounce ที่สูงกว่ากัน


วิธีการหาอัตราการ Bounce rate ของคุณ

อัตราการตีกลับของหน้าเว็บ คำนวณได้โดยการหารจำนวนการเข้าชมหน้าเดียว (single-page visits) กับจำนวนการเข้าชมทั้งหมดในเว็บไซต์

formula


ที่มาของภาพ : https://www.searchenginejournal.com


อัตราการตีกลับของหน้า = การเข้าชมหน้าเดียว / การเข้าชมทั้งหมด

ยกตัวอย่างเช่น หากมีผู้ใช้ 100 คนเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ (การเข้าชมทั้งหมด) และ 10 คนจากนั้นออกไปโดยไม่กระทำการใด ๆ (การเข้าชมหน้าเดียว) อัตราการตีกลับของหน้าเว็บก็คือ 10%

หมายความว่า 10% = 10 / 100

โดยปกติแล้วคุณสามารถตรวจสอบอัตราการตีกลับของหน้าเว็บได้ง่าย ๆ ทันทีโดยใช้ Google Analytics ซึ่งจะมีการบ่งบอกค่าเหล่านี้ให้คุณอย่างอัตโนมัติ


ข้อแตกต่างระหว่าง Bounce Rate กับ Exit Rate

หากลด Bounce rate ได้ ก็ส่งผลให้การทำ SEO พุ่งไปไกลขึ้น-02


หลายคนอาจสงสัยว่า 2 ค่านี้มีความแตกต่างกันอย่างไร เพราะมันอาจหมายถึง “การกดออก” เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ซึ่งเราสามารถอธิบายได้ดังนี้

  • Bounce Rate : คือการที่ User เข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์เพียง 1 หน้าแล้วมีการกดออกไปในทันที โดยไม่ได้เยี่ยมชมอะไรเพิ่มเติม

  • Exit Rate : สามารถวัดได้เพียงแค่การกดออกเท่านั้น โดย User จะไปเข้าหน้าอื่นหรือเยี่ยมชม Content ต่าง ๆ ของเรากี่ตัวก็ได้แต่การกดออก 1 ครั้งก็จะนับเป็นค่า Exit Rate นั่นเอง


เราจึงเห็นได้ว่าแม้ว่า 2 ค่านี้จะดูมีความใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว


Bounce rate มีผลอย่างไรกับการ SEO

หากลด Bounce rate ได้ ก็ส่งผลให้การทำ SEO พุ่งไปไกลขึ้น-03


อัตราการตีกลับมีผลต่อการทำ SEO อย่างมาก มันเป็นตัวบ่งชี้ความน่าสนใจของเนื้อหาและประสบการณ์การใช้งานของเว็บไซต์ การมี อัตราการตีกลับที่สูงหมายความว่าผู้เข้าชมไม่ได้สนใจเนื้อหาหรือไม่พบสิ่งที่ต้องการจากเว็บไซต์ โดยทั้งหมดจะส่งผลรวมต่อการทำ SEO ดังนี้

  • การให้คุณค่าของเว็บไซต์
    โดยทั่วไป การมีอัตราการตีกลับสูง Google มักจะมองว่ามีความน่าสนใจของเนื้อหาน้อย แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าชมไม่พบสิ่งที่ต้องการ หรือเนื้อหาไม่น่าสนใจ มีผลทำให้ Ranking ของเว็บไซต์ในผลการค้นหาอาจตกต่ำลง

  • ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
    นอกจากนี้ค่าการวัดค่า Bounce อาจส่งผลให้ Google ถือว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นหรือน้อยลง เนื่องจากหากไม่มีประสิทธิภาพในการตอบสนองความต้องการของ User ได้ดีพอ โดย Google อาจเริ่มเข้าใจว่าเนื้อหาของเว็บไซต์ไม่สอดคล้องกับ Keyword ที่ต้องการหรือไม่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่ไว้วางใจในเนื้อหาและกลับไม่มาเข้าชมอีก ทำให้เว็บไซต์ไม่ถูกดันไปถึงหน้าแรกได้เช่นกัน

  • ส่งผลต่อ Conversion Rate
    อัตราการตีกลับที่ต่ำสามารถส่งผลให้การแปลงลูกค้าดีขึ้น เนื่องจากผู้เข้าชมมีโอกาสสูงที่จะเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการ และตัดสินใจใช้บริการหรือซื้อสินค้าของคุณ ยิ่งพวกเขาใช้เวลาบนเว็บไซต์ได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะทำให้เกิด Conversion ที่มากขึ้น

  • ความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมาย
    การปรับลดค่า Bounce อาจช่วยให้คุณเข้าใจ Insights ของกลุ่มเป้าหมายเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อคุณเริ่มที่จะปรับปรุงเรื่องต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จะทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของ User รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร จะป้อนหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลในส่วนไหน มีผลให้ SEO ดีขึ้นได้

สรุปได้ว่าการวัดค่า Bounce มีผลกระทบต่อการทำ SEO อย่างมาก การมีค่า Bounce ที่น้อยลง สามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณ ปรากฏในอันดับสูงขึ้นใน Search engine เพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้เข้าชม ช่วยให้คุณแข่งขันกับเว็บไซต์คู่แข่งได้ดียิ่งขึ้น


วิธีปรับปรุง Bounce rate ให้ได้ประสิทธิภาพกับการทำเว็บไซต์

Bounce rate ได้ ก็ส่งผลให้การทำ SEO พุ่งไปไกลขึ้น-04


1. ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience)

การสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน สามารถออกแบบได้อย่างหลากหลาย เข้ากับผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ที่รวดเร็ว ง่ายต่อการใช้งาน สร้างความประทับใจในแง่บวก ไปจนถึงการปรับปรุงในส่วนของ Mobile-friendliness ก็ส่งผลกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งการจัดบทความให้อ่านง่ายมีระเบียบก็นับว่าเป็นสิ่งที่สร้างประสบการณ์ได้ด้วย

2. การออกแบบที่น่าสนใจ (Web Design)

ใช้การออกแบบที่น่าสนใจและสะดุดตา สามารถลดความน่าเบื่อของผู้เข้าชมได้เป็นอย่างดี โดยเราอาจไม่มีทางรู้ว่าการออกแบบอย่างไรจะได้ใจผู้เข้าชมมากที่สุด คำถามคือ คุณวางแผนมาดีแล้วหรือยัง กับการออกแบบต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์? ไม่ว่าจะเป็น โลโก้, ธีม, โทนสี, ตำแหน่งเมนู, รูปแบบปุ่มกด, พื้นที่โฆษณา, พื้นที่นำเสนอ Content ฯลฯ แต่หากคุณยังไม่มั่นใจว่าดีพอแล้วหรือไม่ การหาตัวอย่างหรือ Reference ที่ดีมาใช้ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้คุณนำไอเดียมาต่อยอดได้

3. เนื้อหาที่มีคุณภาพ (Quality Content)

สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ มีประโยชน์ และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการดึงดูด User หากวันนี้ Content ของคุณยังไม่มีคุณภาพ คุณสามารถกลับไปเพิ่มเติมข้อมูลหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาให้ทันสมัยได้เสมอ ที่สำคัญ “คุณภาพต้องมาก่อนปริมาณ” สามารถอ่านเนื้อหาสำหรับการทำ Content ที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก

4. ปรับปรุงการนำทาง (Intuitive Navigation)

ปรับปรุงระบบการนำทางภายในเว็บไซต์ เช่น การใช้ Internal links เพื่อให้เชื่อมโยงกับเนื้อหาในหน้าอื่นให้มากขึ้น จะช่วยให้ผู้เข้าชมหาข้อมูลที่ต้องการได้หลากหลาย สิ่งนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้อัตราการตีกลับเกิดขึ้นได้น้อยลง ทั้งยังช่วยให้คุณสามารถจัดการกับ Content เพื่อแยกเป็นกลุ่มหรือบทเรียนได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

5. การใช้คำค้นหาที่เหมาะสม (Targeted Keywords)

การใช้คำค้นหาหรือ Keywords ที่สอดคล้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ และตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยดึงดูดให้ User ค้นเจอเราได้บ่อยขึ้น และยิ่งเรามีการกระจายเนื้อหาพร้อมรวบรวม KeyWords บนเว็บไซต์ได้ดี จะช่วยให้ User มีโอกาสค้นหาหน้าต่อไปบนเว็บไซต์ได้มากขึ้นไปอีก

6. การใช้สื่อมัลติมีเดีย (Multimedia)

บางครั้งการใช้สื่อมัลติมีเดียเช่น วิดีโอ ภาพ และสไลด์โชว์ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของเนื้อหาช่วยให้ผู้ User อยากที่จะดูเนื้อหาต่อไปได้ การใช้สื่อมัลติมีเดียอย่างเหมาะสม คือปัจจัยเสริมที่จะทำให้เนื้อหาของคุณดูมีมิติมากกว่าตัวอักษรเรียบ ๆ ซึ่งนั่นหมายถึงการที่ผู้ชมสามารถเห็นถึงความใส่ใจในการนำเสนอข้อมูลได้ดีทีเดียว

7. ลดโฆษณาที่น่ารำคาญ (Minimize Annoying Ads)

หากเป็นเราก็คงไม่อยากเข้าเว็บไซต์ที่มีโฆษณาเยอะ ๆ จนน่ารำคาญ ดังนั้นลดโฆษณาที่น่ารำคาญหรือบังคับให้ผู้เข้าชมต้องคลิก อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับ User

8. ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Load Speed)

วิธีนี้สามารถทำได้โดยการ ลดขนาดไฟล์รูปภาพและไฟล์สื่ออื่น ๆ สามารถศึกษา “ความสำคัญของ Page Speed และวิธีเช็ก Page Speed” ต่อได้ที่นี่ เพราะในมุมของ User คงไม่พอใจแน่ หากเข้ามาในหน้าเว็บไซต์แล้วต้องรอนาน ซึ่งมีสิทธิ์ที่พวกเขาจะกดออกจากหน้าเว็บไซต์ก่อนที่จะโหลดเสร็จด้วยซ้ำ จึงเป็นสามารถเหตุหนึ่งที่หากคุณต้องการลดค่า Bounce ก็ต้องใส่ใจในเรื่องนี้ด้วย

9. การให้บริการคุณภาพสูง (Quality Service)

การมีบริการที่ชัดเจน มีความเป็นมืออาชีพ จะช่วยลดอัตราการตีกลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองคิดดูว่าเมื่อคุณเป็นลูกค้า แล้วอยากใช้บริการผ่านเว็บไซต์สักตัว แต่คุณกลับไม่เจอเมนูที่เชื่อมไปยังการให้บริการได้ทันที หรือนำไปสู่หน้าเพจที่จะบ่งบอกถึงการแก้ปัญหาของคุณได้เลย คุณก็คงอยากจะกดออกในทันที เพื่อหาเว็บที่บริการได้ตรงจุดมากกว่า ด้วยเหตุนี้การออกแบบบริการที่มีคุณภาพ จะช่วยลดอัตราการตีกลับได้ด้วย

10. ติดตั้งเครื่องมือวัดผล (Analytics Tools)

คุณอาจไม่มีทางรู้ว่าอัตราการตีกลับแท้ที่จริงแล้วเกิดขึ้นจากอะไรได้อีกบ้าง ดังนั้นการติดตั้ง Analytics Tools เพื่อใช้ติดตามการเข้าชมหรือการทำงานของ User จะทำให้คุณโฟกัสข้อมูลเพื่อใช้ปรับปรุงเนื้อหาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังมีปัจจัยมากมายที่อาจบอกใบ้ทิศทางสำหรับการทำเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ผ่านการดูค่าต่าง ๆ ประกอบกันเพื่อวิเคราะห์ได้อย่างครอบคลุมกว่า จึงเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้หากคุณอยากทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Search engine

สรุป : ดูแลอัตราการตีกลับของคุณให้ดี ถ้าอยากมี Ranking สูง

เมื่อเราดูในมุมมองของการทำ SEO เรื่องอัตราการตีกลับจะนับได้ทันทีว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งนี้มีความสัมพันธ์กับการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์โดยตรง มีผลอย่างมากในการแข่งขันบนตลาดออนไลน์ แม้เมตริกนี้จะไม่ได้บ่งบอกอะไรมากมายด้วยตัวมันเอง แต่ก็นับเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหลายอย่าง ที่จะนำไปสู่การช่วยให้คุณปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีขึ้นในหลายทิศทาง

เรียกได้ว่าหากคุณอยากทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรกของ Google การใส่ใจปรับปรุงค่า “Bounce” ไปทีละขั้น อาจช่วยให้คุณไต่อันดับได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะถ้าหากสรุปจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราจะสามารถพบได้ในทันที ว่ามันมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเว็บไซต์กับการใช้งานของ User อย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุนี้ถ้าหากเราวิเคราะห์ได้อย่างตรงจุดและเฉียบขาด จะทำให้เรารู้ได้ทันที ว่าเว็บไซต์ของเรากำลังจะขาดอะไรไป และควรเติมจุดไหนเพื่ออุดช่องว่างที่เกิดขึ้น

Search
Categories