Content Pruning เทคนิคจำเป็นในการปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์ให้ดีขึ้น

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
Content Pruning เทคนิคปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์

หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO เพื่อดันอันดับบนหน้าผลการค้นหา หลายคนมักคิดว่าการสร้างเนื้อหา (Content) ใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ในการทำ SEO และดันอันดับเว็บไซต์ได้ดีที่สุด แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีอยู่บนหน้าเว็บของคุณเอง ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน การมีเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพต่ำอยู่เป็นจำนวนมาก หรือเนื้อหาที่คล้ายกันที่ไม่ได้เป็นประโยชน์บนเว็บไซต์ของคุณเอง สามารถส่งผลเสียต่อการทำ SEO โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว็บไซต์ธุรกิจที่ต้องการดันอันดับเว็บให้ปรากฏอยู่เป็นหน้าแรก ๆ บนผลการค้นหาของ Google

ดังนั้นคุณจึงต้องรู้จักกับหนึ่งในเทคนิคที่จะมาแก้ปัญหานี้ และเป็นหนึ่งเทคนิคในการทำ SEO ที่มักถูกลืม หรือที่เรียกกันว่า “Content Pruning” ซึ่งในบทความครั้งนี้จะมาเจาะลึกกันว่าเทคนิคนี้คืออะไร มีขั้นตอนการทำอะไรบ้าง แล้วมีความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ทำ SEO มากน้อยเพียงใด

เข้าใจก่อนว่า Content Pruning คืออะไร

Content Pruning คืออะไร

Content Pruning คือกระบวนการที่ใช้ในการตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์รูปแบบหนึ่ง โดยจะเน้นไปที่เนื้อหาที่เก่าแล้ว, เนื้อหาที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือเนื้อหาที่ไม่สามารถสร้างประโยชน์อะไรให้กับเว็บไซต์ได้ในการทำ SEO ซึ่งหากเนื้อหาเหล่านี้ยังคงอยู่บนเว็บไซต์จะกลายเป็นผลเสียต่อการทำ SEO และไม่ช่วยดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นได้ ดังนั้นการตัดเนื้อหา (Prune) หรือปรับแต่ง เนื้อหาเหล่านี้ออกจากหน้าเว็บไซต์จะช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพ และส่งผลดีต่อการทำ SEO ได้ ทั้งในด้านการค้นหา (SERP) และด้านประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (UX)

การทำ Content Pruning อาจรวมไปถึงการตัดหรือลบหน้าเว็บที่ไม่ได้รับความนิยม หรือไม่ได้มียอดการเข้าถึง (Traffic) มานาน รวมไปถึงการปรับปรุงเนื้อหาที่ล้าสมัย หรือการรวมเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันมาเป็นหน้าเว็บเดียวเพื่อให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้แก่ผู้เข้าชม และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่สูงในหน้าผลการค้นหา (SERP) อีกด้วย

หากให้เปรียบเทียบเห็นภาพชัดขึ้น ให้นึกว่าเว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ต้องมีการตัดแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดกิ่งและใบที่ตายออก เพื่อให้ต้นไม้มีสุขภาพที่ดีขึ้น เช่นเดียวกันกับเว็บไซต์ที่ทำ SEO ย่อมจำเป็นต้องมีการตัดหรือปรับแต่งตัวเว็บ เพื่อให้สามารถแสดงประสิทธิภาพในการทำ SEO และการมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดีให้แก่ผู้เข้าชม

ทำไม Content Pruning ถึงมีความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ทำ SEO

ความสำคัญของ Content Pruning

เหตุผลที่ทำให้ Content Pruning มีความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ทำ SEO มีอยู่กัน 2 เหตุผลหลัก ๆ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO และการเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชม โดยรายละเอียดแต่ละเหตุผลมีดังนี้

1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO

  • ลดการโหลดของเว็บไซต์ : คุณรู้หรือไม่ว่าการลบเนื้อหาที่ไม่จำเป็น หรือมีขนาดที่ใหญ่แต่ไม่ได้มอบประโยชน์อะไรให้แก่เว็บไซต์ จะช่วยให้หน้าเว็บนั้นโหลด และแสดงผลได้เร็วขึ้น ซึ่งการที่หน้าโหลดเว็บ (Page Speed) ได้เร็วขึ้น จะส่งผลดีต่อเว็บไซต์ที่ทำ SEO ให้ติดอันดับได้ดีขึ้นเช่นกัน
  • คุณภาพของเนื้อหา : การใช้เทคนิคนี้จะช่วยให้เนื้อหามีคุณภาพมากขึ้น (หากตัดหรือปรับปรุงถูกจุด) และยังส่งผลดีต่อผู้เข้าชมและเครื่องมือค้นหาที่เข้ามาดู เพราะเนื้อหาที่แคบและชัดเจน มักจะตอบโจทย์และมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดีให้แก่ผู้เข้าชมและทำให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเว็บไซต์คุณมากขึ้น จนนำไปสู่การเพิ่มโอกาสในการตัดอันดับหน้าแรก ๆ ของผลการค้นหา (SERP) ได้
  • ลดการตีความ : ลดการตีความในความหมายเชิง SEO คือทุกครั้งที่เครื่องมือค้นหาเข้ามาเก็บข้อมูล จะมีการตีความเนื้อหา และจัดหมวดหมู่ให้เว็บไซต์ว่าอยู่หมวดหมู่ใด ตามเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ การลบเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่ได้ตรงตามเป้าหมายของเว็บ จะช่วยให้ตัวเว็บถูกตีความได้แคบลง และแสดงผลในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการทำ SEO เป็นอย่างมาก

2. เพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชม

  • การนำเสนอเนื้อหา : การได้ปรับปรุงหรือตัดจะช่วยให้เนื้อหามีความเป็นระเบียบ และสามารถนำเสนอให้แก่ผู้เข้าชมได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ซึ่งการที่เนื้อหาสามารถมอบประโยชน์ให้แก่ผู้เข้าชมได้ จะส่งผลดีต่อการทำ SEO ได้ด้วยเช่นกัน
  • เนื้อหาเป็นปัจจุบัน : เนื้อหาที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความเป็นปัจจุบันมากขึ้น จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะตอบโจทย์การค้นหาของผู้เข้าชมที่แวะเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณด้วย
  • ประสิทธิภาพการใช้งาน : การตัดแต่ง หรือลบเนื้อหาที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้มอบประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีของผู้เข้าชมมากยิ่งขึ้น เพราะผู้เข้าชมสามารถเน้นไปที่เนื้อหาที่มีคุณภาพ ผ่านการปรับแต่งได้มากยิ่งขึ้น

ควรเริ่มใช้งาน Content Pruning ตอนไหนดี ?

ใช้ Content Pruning ตอนไหนดี ?

คำตอบของคำถามว่า “ควรเริ่มใช้ Content Pruning ตอนไหนดี” คงเป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก เพราะไม่มีคำตอบที่แน่ชัดหรือตายตัว การเริ่มใช้งานเทคนิคนี้ควรพิจารณาตามความต้องการหรือสถานะของเว็บไซต์ในแต่ละช่วงเวลา ไม่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและปรับปรุงเว็บไซต์ที่ทำ SEO ในระยะยาว เพื่อให้เว็บไซต์สามารถแสดงประสิทธิภาพได้ดีที่สุด

แต่ทั้งนี้การตัดแต่งเนื้อหา จะมีผลได้ชัดเจนต่อเว็บไซต์ที่มีขนาดใหญ่ หรือมีหน้าเว็บเพจจำนวนหน้าที่เยอะ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์ขนาดเล็กจะใช้ไม่ได้เลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานะของเว็บไซต์ในแต่ละช่วงเวลาว่าเป็นอย่างไร หากไปได้ดีก็ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่หากระยะยาวแล้วยังไม่คืบหน้า การใช้เทคนิคนี้มาปรับแต่งเนื้อหา เพื่อตรวจสอบและแก้ไขเนื้อหา อาจจะมีส่วนช่วยสำคัญในการดันอันดับเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้เช่นกัน

กระบวนการทำ Content Pruning ไม่ยาก ไม่กี่ขั้นตอน

กระบวนการทำ Content Pruning

กระบวนการทำ Content Pruning ไม่ได้ซับซ้อนหรือยากเลยทีเดียว ในความเป็นจริง เป็นเพียงแค่กระบวนการที่เรียบง่ายและมีความตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น

1. วิเคราะห์เนื้อหา

การวิเคราะห์เนื้อหานับเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการนี้ และยังเป็นขั้นตอนที่สำคัญด้วย เพราะคุณจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมดที่อยู่บนเว็บไซต์ ไม่ว่าเนื้อหามีประเภทใดบ้าง มีจำนวนเท่าไร และเนื้อหาแต่ละชิ้นมีประสิทธิภาพเท่าไร ในขั้นตอนการวิเคราะห์นี้คุณสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์เข้ามาช่วยเหลือได้ อย่าง Google Search Console หรือ Ahrefs ที่แสดงรายละเอียดและประสิทธิภาพของเนื้อหาไว้อย่างชัดเจน เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนถัดไป

2. ประเมินคุณภาพเนื้อหาโดยรวม

หลังจากวิเคราะห์เนื้อหาแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการประเมินคุณภาพของเนื้อหาแบบโดยรวม คุณต้องพิจารณาว่าเนื้อหาในส่วนใดยังมีคุณภาพ ยังมีความเกี่ยวข้อง ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และเนื้อหาใดที่ควรทำการปรับปรุงหรือตัดทิ้งออกไป การประเมินคุณภาพเนื้อหาโดยรวม ควรพิจารณาจากข้อมูลของการเข้าชม เวลาที่ใช้บนหน้าเว็บ ยอดการแชร์ และจำนวนลิงก์ที่เชื่อมโยงต่าง ๆ บนหน้าเว็บนั้น ๆ ว่าสร้างยอดเข้าชมได้มากน้อยเพียงใด 

หากหน้าเว็บใดที่มีผลออกมาว่าน้อย อาจเป็นไปได้ว่าเนื้อหาที่แสดงผลอยู่นั้นไม่ตอบโจทย์ทั้งแก่ผู้เข้าชมและเครื่องมือค้นหาที่เข้ามาเก็บข้อมูล โดยหน้าเว็บดังกล่าวอาจจำเป็นต้องนำเข้าสู่กระบวนการตัดสินใจ และแก้ไขเนื้อหาในทันที

3. การตัดสินใจ

เมื่อผ่านขั้นตอนการประเมินคุณภาพเนื้อหาแล้ว ว่าหน้าเว็บใดบ้างที่ต้องแก้ไขเนื้อหา ขั้นตอนถัดไปคือการตัดสินใจ คุณต้องตัดสินใจกับเนื้อหาที่พิจารณามาว่าทำอย่างไรต่อไปดี จะลบเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ หรือจะปรับปรุงเนื้อหาให้มีคุณภาพมากกว่าเดิม รวมไปถึงการเก็บเนื้อหาที่ยังมีคุณภาพและเกี่ยวข้องไว้ การตัดสินใจนี้ควรพิจารณาจากผลการวิเคราะห์และประเมินคุณภาพเนื้อหาโดยรวม ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 

แต่ทั้งนี้ในการตัดสินใจขอให้รู้ไว้อย่างหนึ่ง ว่าการตัดสินใจไม่ได้มีทางเลือกที่ผิดหรือถูกที่ชัดเจน มีแค่ได้ผลดีกว่าเดิมหรือเท่าเดิมเท่านั้น ดังนั้นอย่ารีบร้อนตัดสินใจ ค่อย ๆ พิจารณาและคิดไปเรื่อย ๆ จนกว่าได้คำตอบที่ชัดเจน

4. เริ่มดำเนินการ

ขั้นตอนสุดท้ายไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่ดำเนินตามที่ตัดสินใจ หากตัดสินใจที่จะลบเนื้อหาออก ก็ให้ดำเนินการอย่างระมัดระวัง (เก็บข้อมูลส่วนที่จะลบแยกไว้ตังหากด้วย เผื่อกรณีเนื้อหานั้นยังสามารถนำมาใช้งานต่อได้) หากตัดสินใจจะปรับปรุงเนื้อ ก็ให้เริ่มปรับปรุงได้ทันที (เก็บเนื้อหาดั้งเดิมไว้ด้วยเช่นกัน เผื่อกรณีเกิดปัญหาเนื้อหาหาย) และติดตามผลการเปลี่ยนแปลง ตรวจสอบว่าการดำเนินการเหล่านี้ส่งผลต่อการทำ SEO และประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (UX) ได้มากน้อยเพียงใด

บทสรุป Content Pruning กระบวนการด้าน SEO ที่ควรรู้

จะกล่าวได้ว่า Content Pruning เป็นเพียงแค่คำศัพท์หนึ่งที่ถูกกำหนดมาให้เข้าใจว่าเป็นกระบวนการหนึ่งที่ทำในการทำ SEO โดยเน้นไปที่การปรับแต่ง หรือตัดลบเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพต่อการทำ SEO ก็ได้ หลายคนมักคิดว่าการทำ SEO มักจบแค่การลงเนื้อหาใหม่ และติดตามผลลัพธ์ สร้างลิงก์เชื่อมโยงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือเพื่อให้ได้อันดับเว็บสูงขึ้นบนหน้าผลการค้นหา (SERP) แต่ในความเป็นจริงแล้วเนื้อหาที่มีอยู่ดั้งเดิม หรือที่เพิ่มลงไปอาจจะไม่ได้มีคุณภาพมากพอที่จะช่วยดันอันดับเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ และอาจจะกลายเป็นเหมือนก้อนเนื้อเสียที่ส่งผลเชิงลบต่อการทำ SEO ได้เช่นกัน 

ดังนั้นกระบวนการอย่าง Content Pruning จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้กับเว็บไซต์ ที่ต้องการให้เนื้อหามีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเว็บไซต์ที่มีหน้าเว็บเพจเนื้อหาหลายหน้า หรือมีเนื้อหาที่ล้าสมัยเกินไป หากคุณต้องการให้เว็บไซต์แสดงเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อย่าลืมมั่นดูแลรักษา และปรับปรุงเนื้อหาด้วยเช่นกัน 

Search
Categories