สิ่งที่ควรโฟกัสกับการทำงานหน้าเว็บไซต์ On-Page SEO

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
On-Page SEO 1

การทำเว็บไซต์สักเว็บหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ติดหน้าอันดับยอดการค้นหา (SERP) ของ Google ที่เราเรียกกันว่าการทำ SEO ซึ่งการจะทำให้เว็บไซต์ได้ปรากฏขึ้นบนยอดอันดับการค้นหามีอยู่หลายปัจจัยด้วยกันไม่ว่าจะเป็น Keyword, On-Page และ Off-Page หรือให้แปลแบบง่ายเลยคือ หน้าต่างเว็บไซต์และหลังบ้านเว็บไซต์ โดยหน้าเว็บไซต์ให้ผู้เข้าชมได้เห็นเนื้อหาข้อมูล นั้นคือ On-Page และหลังบ้านเว็บไซต์เรียกว่า Off-Page

แน่นอนว่าการทำให้หน้าเว็บไซต์นั้นดูดีเป็นเรื่องปกติที่คนส่วนใหญ่โฟกัสทำกันอยู่แล้ว แต่การจะทำให้สอดคล้องกับการทำ SEO ที่ดีเพื่อติดยอดอันดับการค้นหาบนหน้า Google คุณควรต้องรู้จัก 12 สิ่งสำคัญที่ควรโฟกัสในการทำหน้าเว็บไซต์ออกมาให้ถูกใจระบบ Search Engine อย่าง Google

12 สิ่งสำคัญที่ควรโฟกัสในการทำ On-Page SEO ที่ดี

สิ่งสำคัญที่ควรโฟกัส On-Page SEO



กล่าวได้นัยหนึ่งว่าหน้าต่างเว็บไซต์เปรียบเสมือนประตูหน้าบ้านที่ทั้งให้ผู้เข้าชมได้เห็น และทำให้เครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google ได้เข้าใจว่าเว็บของคุณนั้นทำเกี่ยวกับอะไร และการจะทำให้หน้าต่างเว็บไซต์ถูกใจทั้งสองทางทั้งผู้เข้าชมและ Google คุณควรต้องรู้ว่าจุดใดบนหน้าเว็บไซต์ (On-Page) ที่คุณต้องโฟกัสเป็นพิเศษ

1. Content is King ตลอดกาล

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Content หรือเนื้อหาประกอบบนหน้าเว็บไซต์ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้กับการทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับโลกออนไลน์ Content ที่ชัดเจนและแปลกใหม่ พร้อมนำเสนอในสิ่งที่ไม่รู้ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้าชมจะช่วยดึงดูดให้ผู้คนได้เข้ามาดูได้ ดังนั้นหาก Content คุณดีจริงละก็ มันเท่ากับว่าคุณได้รับชัยชนะไปแล้วส่วนหนึ่ง

2. Keyword ที่ตรงและชัดเจน

หลายคนรู้อยู่แล้วว่าการทำ SEO จำเป็นต้องพึ่งปัจจัยหนึ่งที่เรียกว่า Keyword หากหน้าเว็บและเนื้อหาของเว็บไซต์มีการระบุ Keyword อย่างชัดเจนและตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา ระบบ Search Engine อย่าง Google ก็จะช่วยทำให้เว็บของเราได้ขึ้นแสดงบนหน้าการค้นหาได้ แต่ทั้งนี้แค่ Keyword เพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยดันได้ดีพอ ต้องพึ่งพาในส่วนอื่นด้วยเช่นกัน

3. SEO Writer สกิลการเขียนที่จำเป็นต่อการทำ SEO

การเขียนทั่วไปไม่สามารถนำมาใช้งานบนการทำ SEO ได้ เพราะระบบ Search Engine อย่าง Google มีระบบการตรวจสอบ คัดกรอก เนื้อหาที่เขียน ดังนั้นคุณควรต้องรู้ว่าสกิลการเขียน SEO มีอะไรบ้างที่ควรทำและไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด
อ่านง่าย ไม่ยาวจนเกินไป การเขียนเนื้อหาให้อ่านง่าย และกระชับไม่ยาวจนเกินไปมีส่วนสำคัญเช่นกัน เพราะปัจจุบัน Google เองมีระบบการตรวจเนื้อหาว่ามีการเรียบเรียงที่อ่านง่ายหรือดูเป็นธรรมชาติหรือไม่ นอกจากนี้การเขียนเนื้อหาที่อ่านง่ายจะทำให้ผู้เข้าชมพึงพอใจได้ด้วย

Keyword ไม่ใส่มากจนเกินไป แน่นอนว่าการใส่ Keyword ลงไปในเนื้อหาเป็นเรื่องสำคัญในการทำ SEO เพื่อทำให้ผู้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง และเครื่องมือค้นหา (Search Engine) หาเจอ แต่หากมีการใส่ Keyword ที่มากเกินไป ระบบจะมองว่าเป็นการสแปมแล้วถูกลดอันดับการค้นหาหรือถูกปัดหน้าเว็บเราออกจากการค้นหาได้

การแบ่ง Heading การเขียนบทความหรือเนื้อหาบนการทำ SEO ควรมีการกำหนด Heading หรือหัวข้อที่แบ่งแบบชัดเจนจะช่วยคุณได้ ไม่ว่าจะเป็น H1-H6 เป็นต้น โดยการเขียนหัวข้อควรที่จะต้องมี Keyword หลักของเนื้อหาอยู่ด้วยถึงจะส่งผลดีต่อการทำ SEO

Heading

ตัวอย่างภาพประกอบการแบ่ง Heading (หัวข้อ)
ที่มา : fivebestmarketing

4. Responsive Design การออกแบบหน้าเว็บไซต์

การออกแบบหน้าเว็บไซต์ (On-Page) ในตอนนี้ควรโฟกัสไปกับผู้ใช้งานทางโทรศัพท์ หรือสมาร์ตโฟนเป็นหลัก เพราะเนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้งานในโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อการค้นหาบนโทรศัพท์ มีมากถึง 56% ในขณะที่ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์มีเพียงแค่ 26% จากข้อมูลในส่วนนี้ระบุได้ว่าการใช้งานผ่านโทรศัพท์มีมากกว่า
ดังนั้นการออกแบบหน้าเว็บไซต์เพื่อให้รองรับกับการแสดงผลบนจอโทรศัพท์เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย รวมไปถึงไม่ควรลืมการแสดงผลบนหน้าจอเดสท็อปหรือบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปด้วยเช่นกัน ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้มีผู้ชมเข้ามาดูเว็บไซต์คุณได้ง่ายและมากขึ้น

5. Page Speed ความเร็วโหลดหน้าเว็บ

อีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้การกับการทำ SEO ในส่วนของ On-page เลยคือ Page Speed หรือที่เรียกกันว่าความเร็วโหลดหน้าเว็บไซต์ หากหน้าเว็บของคุณมีการจัดวาง และมีการทำระบบหลังบ้านที่ดี จนมีการโหลดแสดงผลหน้าเว็บอย่างรวดเร็ว จะช่วยทำให้ผู้เข้าชมพึงพอใจ และมียอด Traffic เข้าสู่เว็บไซต์คุณได้มากกว่าเดิม
แต่ถ้าหากเว็บไซต์คุณมี Page Speed ที่ช้ามาก (หากคุณอยากรู้เกี่ยวกับ Page Speed เพิ่มเติมสามารถมาอ่านได้ที่บทความ Page Speed ของเรา) จนผู้เข้าชมปิดหน้าเว็บหนี Google ก็จะให้คะแนนเว็บคุณต่ำลงไปด้วย ทำให้ส่งผลต่อการทำ SEO อย่างชัดเจน ซึ่งมีผลเกี่ยวเนื่องกับ Bounce rate โดยตรง

6. Visual Assets สื่อประกอบทางภาพ

ภาพ (Photo) อินโฟกราฟิก (Infographic) และวิดีโอ (Video) ประกอบการใช้งานเนื้อหาบนหน้าเว็บจะช่วยในเรื่องการทำหน้า On-Page ได้ดีและมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะไม่ได้มีแค่ตัวอักษรมองให้ลายตา แต่มีภาพประกอบให้มองเห็นภาพรวมและน่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ผู้เข้าชม 36% ล้วนมีการค้นหาด้วยภาพ เวลาค้นหาการซื้อสินค้า การใส่ภาพก็ช่วยในส่วนนี้ได้ด้วย และสุดท้ายที่ควรระวังคือการใส่ไฟล์ภาพหรือวิดีโอควรมีขนาดไฟล์ที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เพราะอาจจะส่งผลทำให้ความเร็วหน้าโหลดเว็บ (Page Speed) มีปัญหาได้

7. Alt Text การปรับชื่อไฟล์ภาพให้ตรงกับ Keyword

เรารู้ว่าไฟล์ภาพ จำพวกอินโฟกราฟิก หรือวิดีโอนั้นช่วยอะไรได้บ้างแล้ว แต่อันนี้เป็นเทคนิคในการช่วยทำ On-Page SEO ให้ดีได้ขึ้นอีก โดยการระบุชื่อไฟล์ต่าง ๆ ให้ตรงกับ Keyword ของหน้าเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจว่าภาพนี้คืออะไรผ่านสิ่งที่เรียกว่า Alt Text ซึ่งเป็นการช่วยให้ Google เอาภาพมาแสดงผลได้อย่างถูกต้องตามชื่อหรือ Keyword ที่อยู่ในชื่อไฟล์ที่เราตั้งเอาไว้

8. Title Tag การแสดงชื่อหน้าเว็บไซต์

Title Tag นับว่าเป็นส่วนที่มีความละเอียดอ่อนเลยก็ว่าได้ เพราะมันอาจจะไม่ได้ช่วยในเรื่องการดันขึ้นอันดับการค้นหา (SERP) แต่มันเป็นหัวข้อสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าหน้าเว็บไซต์ของเราทำเกี่ยวกับอะไรเวลาขึ้นแสดงบนผลลัพธ์การค้นหา (SERP) ซึ่งการแสดงหัวข้อที่ชัดเจนว่าทำเกี่ยวกับอะไร ช่วยดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาดูได้

Tittle Tag On-Page SEO

ตัวอย่างภาพประกอบ Tittle Tag
ที่มา : scaledon

9. Meta Description คำอธิบายเว็บไซต์

Meta Description หรือที่เรียกว่า “คำอธิบายเว็บไซต์” แน่นอนว่าหากใครรู้จักกันดี จะรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยในเรื่องการทำ SEO โดยตรงสักเท่าไรนัก แต่ก็ยังมีประโยชน์อย่างยิ่งในการทำหน้า On-Page เพื่อแสดงคำอธิบายเนื้อหาภายในเว็บไซต์ให้ผู้เข้าได้รับรู้กันว่ามีเนื้อหาอะไรบ้าง ทำเกี่ยวกับอะไร ซึ่งในส่วนนี้จะมีความคล้ายกับ Title Tag ที่ไม่ได้ช่วยการทำ SEO แต่ช่วยอธิบายให้เข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ จนนับไปสู่การดึงดูดให้ผู้คนเข้าดู

Meta Description On-Page SEO

ภาพประกอบ Meta Description
ที่มา : sitechecker

10. เพิ่มข้อมูลทางธุรกิจให้ครบถ้วน

สำหรับเหล่าธุรกิจที่มีที่อยู่หน้าร้าน และมีการทำหน้าเว็บไซต์ การแสดงข้อมูลทางธุรกิจที่ครบถ้วนและชัดเจนจะช่วยทำให้เวลามีผู้ค้นหาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคุณแสดงผลได้ชัดเจน รวมไปถึงการแสดงข้อมูลพื้นที่ใกล้เคียง หากเว็บไซต์ธุรกิจของคุณมีข้อมูลทางธุรกิจที่ครบถ้วน จะช่วยในเรื่องการทำ SEO ได้เป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน

11. โครงสร้าง URL

URL หรือที่อยู่เว็บไซต์ การแสดงชื่อรายละเอียดเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น www.bababa.com/book เป็นต้น URL อาจจะไม่ได้ช่วยในเรื่องการทำ SEO อย่างชัดเจนนัก แต่จะช่วยในเรื่องการทำหน้า On-Page ได้ เว็บไซต์ที่แสดงที่อยู่ของตัวเองอย่างชัดเจนจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังช่วยให้ Google ค้นหาจนเจอ แน่นอนว่าการอ่าน URL ของ Google ในตอนนี้มีการพัฒนาที่ไปไกลได้มากขึ้นแล้ว เราสามารถใช้ภาษาอื่น นอกจากภาษาอังกฤษในการตั้ง URL ได้ และเมื่อมีการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น Google จะทำการแปลและเข้าใจได้ในทันที

สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้กับการทำ On-Page SEO เลยคือลิงก์ (Link) เรียกได้ว่าเป็นวิธีการยอดนิยมอย่างมากกับการใช้ Link เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและการเข้าถึงของเว็บไซต์ รวมไปถึงเพิ่มยอดการเข้าชมหน้าเว็บได้มากขึ้น รูปแบบการทำงานของ Link แบ่งเป็น 3 ทางหลักดังนี้

  • Internal links เป็นการเชื่อมต่อกันเองในแต่ละหน้าเว็บเพจภายในเว็บไซต์เดียวกัน
  • Outbound links รูปแบบการเชื่อมต่อไปยังลิงก์ภายนอกเว็บไซต์ของตัวเอง โดยเว็บไซต์ที่ลิงก์เป็นปลายทางต้องมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ลิงก์ไปด้วย และรูปแบบ Outbound link เป็นหนึ่งในวิธีเพิ่มยอดการทำ SEO ได้ดีเลยทีเดียว
  • Inbound links หรือที่เราเรียกกันว่า Backlink เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่มาจากเว็บไซต์นอกมายังเว็บไซต์ของเรา ซึ่งช่วยเพิ่มยอดการเข้าชม และการทำ SEO ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

ให้พูดกันตามตรงเลยคือ Link นับเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นประโยชน์อย่างมากของการทำ On-Page แต่มันก็ยากที่สุดด้วยเช่นกัน เพราะต้องระวังในการใช้งานเป็นอย่างมาก หากทำผิดวิธีก็มีสิทธิ์ที่ Google มองว่าเป็นเว็บและลิงก์ที่ไม่มีคุณภาพ และถูกหักคะแนน รวมไปถึงการลดอันดับการค้นหา และหนักสุดคือการแบน (อันเนื่องจากการสแปมหรือใช้ผิดวิธี)

บทสรุปการทำ On-Page SEO

สุดท้ายแล้วการออกแบบหน้าเว็บไซต์หรือที่เรียกว่า On-Page ไม่ว่าใครต่างต้องการทำออกมาให้ดูดีและเป็นตัวตนของตัวเองได้มากที่สุด แต่หากคุณต้องการทำให้หน้าเว็บไซต์ดังกล่าวของคุณได้ขึ้นบนยอดผลลัพธ์การค้นหา (SERP) ของ Google คุณก็ต้องพึ่งหลัก On-Page อยู่ดี โดยหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยคุณตรวจสอบได้ถึงประสิทธิภาพในเรื่องนี้ก็คือเจ้า Google Search Console ที่จะช่วยให้คุณรู้ได้ว่าควรจะปรับปรุงอะไรต่อไป

แน่นอนว่าในปัจจุบันใครก็ต่างอยากให้เว็บไซต์ของตัวเองขึ้นอยู่บนยอดการค้นหา และทำให้ผู้ชมเข้าถึงได้มากที่สุด ดังนั้นการทำ SEO ในส่วน On-Page ให้ดีก็ควรกลายเป็นเรื่องพื้นฐาน และเรื่องที่ควรรู้ในส่วนของการทำเว็บไซต์สมัยนี้ไปแล้ว และ 12 สิ่งที่ทางบทความของเราได้แนะนำไปนี้เป็นสิ่งที่คุณควรโฟกัส และใส่ใจอย่างยิ่งในการทำหน้าเว็บไซต์ เพราะมันจะทำให้การทำหน้าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพ รวมไปถึงส่งผลดีต่อการทำ SEO ด้วยเช่นกัน

Search
Categories