SEO Content เป็นข้อมูลเนื้อหาที่มาในรูปแบบของบทความในการทำ SEO โดยเนื้อหาจะอยู่ในหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งบนสื่อออนไลน์ บทความจะมีการจัดอันดับเว็บไซต์บน Google โดยความสำคัญจะมาจากเนื้อหา หรือการเขียน เนื้อหามีความตรงกับ Keyword ค้นหานั้น ๆ มากน้อยแค่ไหน
SEO Content คืออะไร ?
แต่เมื่อหากพูดถึง SEO สิ่งที่อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด คือ “เนื้อหานั้นเป็นหัวใจสำคัญ” เพราะในเมื่อความเป็นจริง HubSpot รายงานว่าธุรกิจที่มีการโพสต์บทความลงบนบล็อก (blog post ) เป็นประจำจะได้รับการเข้าชมมากกว่าธุรกิจที่ไม่ได้ทำการโพสต์เป็นประจำถึง 350%
นอกจากนี้ Google ยังออกมายืนยันอีกด้วยว่าเนื้อหาที่ดีนั้นถือเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
โดย Google ถือว่า “Content” ติดอยู่ใน 3 ปัจจัยแรกที่ Google ให้ความสำคัญในการพิจารณาจัดอันดับ
วิธีการเขียนเนื้อหาบทความ SEO
ขั้นตอนแรกของคุณ คือการนำเสนอหัวข้อ สำหรับบทความหรือเนื้อหาของคุณ เพื่อเป็นการครอบคลุมหัวข้อให้ระบุเจาะจงมาที่ธุรกิจมากขึ้น
หรือที่ลูกค้าเป้าหมายมีความสนใจและจะค้นหาด้วยคำค้นหาที่อาจตรงกับหัวข้อของคุณ และนี่คือ 3 วิธีที่รวดเร็วในการกำหนดหัวข้อที่ยอดเยี่ยม
- Reddit: เป็นเว็บบอร์ด ที่มีมูลค่ามากสุดในโลก ดังนั้นให้คุณไปที่ส่วนย่อยของกิจกรรมต่าง ๆ ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณอาจให้ความสนใจค่อนข้างเยอะ
และมองหาหัวข้อที่มักจะเกิดการค้นหาเจออยู่บ่อย ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นหัวข้อที่ดีที่จะครอบคลุมในบล็อกโพสต์หรือวิดีโอ
- Competitor Blogs: เป็นบล็อกของคู่แข่ง ดังนั้นให้คุณไปดูยังบล็อกโพสต์ วิดีโอ และอินโฟกราฟิกยอดนิยมจากบล็อกของคู่แข่งถือเป็นการเรียนรู้เพิ่มเติม
และให้คุณเปรียบเทียบความเหมือนและแตกต่าง หรือมีอะไรบ้างที่คุณสามารถนำมาปรับปรุงและต่อยอดต่อไปได้
- Personas: Personas หรือ Personality สามารถช่วยแยกประเภทลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาอ่านบทความหรือเนื้อหาของคุณได้
โดยพวกเขาอาจค้นหาด้วยชื่อบุคคลที่พวกเขาสนใจเป็นต้น และเพราะแบบนี้ Personas ยังสามารถช่วยในกรณีที่พวกเขาอาจค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณไม่พบ
ขั้นตอนที่ 2 การค้นหา Keyword ในการทำ SEO Content
การค้นหา Keywords หรือคำหลัก ๆ มาใช้สำหรับบทความของคุณนั้นก็เพื่อเพิ่มความเจาะจงหรือชัดเจนมากขึ้นการวิเคราะห์ Keyword ถือเป็นปัจจัยสำคัญหรือ HUGE Topic ดังนั้นคุณจึงควรทราบถึงเทคนิคในการวิเคราะห์คำหลัก ๆ ในการนำมาใช้ในบทความ โดยมีวิธีการวิเคราะห์ดังนี้
วิธีที่หนึ่ง : ให้คุณใช้ Google Suggest เพื่อค้นหา Long Tail Keywordsโดยข้อดีของเทคนิคนี้คือคุณจะเห็นคีย์เวิร์ดที่กำลังได้รับการนิยมในการค้นหาอยู่ในขณะนี้
วิธีที่สอง : ให้คุณใช้ Ubersuggest เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดฟรี โดยเครื่องมือนี้สามารถช่วยคุณเสนอคีย์เวิร์ดใหม่ ๆ และนอกจากนี้ยังช่วยให้คุณทราบว่ามีปริมาณคนค้นหาคีย์เวิร์ดนี้ใน Google เท่าไหร่ต่อเดือน
วิธีที่สาม : ให้คุณพิมพ์คำและวลีที่แตกต่างกันสองสามคำลงใน AnswerThePublic ซึ่งเครื่องมือนี้จะไม่เหมือนกับเครื่องมืออื่น ๆ เพราะส่วนใหญ่ AnswerThePublic ให้ความสำคัญกับประเด็นหรือคีย์เวิร์ดที่เป็นคำถามมากกว่า ดังนั้นหากคุณต้องการสร้างเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะสมกับ หากคุณต้องการสร้างคีย์เวิร์ดที่เป็นคำถาม เครื่องมือนี้สามารถช่วยคุณได้
ขั้นตอนที่ 3 การเขียนเนื้อหา SEO Content ที่ครอบคลุม
ในการทำ SEO หากคุณต้องการให้เนื้อหาของคุณติดอันดับใน Google เนื้อหานั้นจะต้องยอดเยี่ยมที่สุดการเขียนเนื้อหาให้ครอบคลุม ถือเป็นปัจจัยสำคัญมาก ๆ ที่จะทำให้เนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณออกมายอดเยี่ยมมาก โดยเป็นวิธีการที่โพสต์เนื้อหาที่มีความสอดคล้องและตรงกับ Keyword เพราะจะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกว่าได้รู้ในสิ่งที่ต้องการจะรู้จริง ๆ ดังนั้นการเขียนให้ชัดเจนและครอบคลุมจึงสำคัญกว่าความสั้นยาวของเนื้อหาอย่างแน่นอน
ดังนั้น เหตุผลที่เนื้อหาที่ยาวทำให้การจัดอันดับออกมาดีกว่าก็เพราะว่า เนื้อหาที่ยาวขึ้นช่วยให้ Google ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อของหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ และจะทำให้ผู้เข้าชมมั่นใจมากขึ้นว่าหน้าเนื้อหาของคุณคือผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่เขาใช้ค้นหา จึงกล่าวได้ว่าการเขียนเนื้อหายาวสามารถครอบคลุมบล็อกโพสต์ได้มากกว่า 300 Keywords ในหัวข้อเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าบทความยาวจะตอบคําถามของผู้ค้นหาได้ดีกว่าเนื้อหาสั้น ๆ แน่นอน
ขั้นตอนที่ 4 การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้เข้าชม
เมื่อคุณได้เขียน SEO Content แล้วก็ควรมีการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้เข้าชมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณจะต้องทำให้เนื้อหาของคุณง่ายต่อการเข้าถึงเพราะหากเนื้อหาของคุณอ่านและทำความเข้าใจยากเกินไป เนื้อหานั้นจะไม่ติดอันดับเพราะผู้เข้าชมให้ความสนใจน้อยลง (แม้ว่า SEO ในหน้าของคุณจะสมบูรณ์แบบก็ตาม)
และตอนนี้ Google มีการใช้ “User Experience Signals หรือ สัญญาณประสบการณ์ผู้เข้าชมของเว็บไซต์” ที่ใช้เพื่อหาว่าเว็บไซต์ใดที่มีประสบการณ์สูงหรือมีผู้เข้าชมมากและเหมาะกับที่จะจัดให้อยู่อันดับแรก ๆ ดังนั้นต่อไปคือเคล็ดลับการเขียน SEO copywriting หรือคำโฆษณาของ SEO ที่คุณสามารถนำไปใช้เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณตอบสนองผู้เข้าชมและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับผู้เข้าชมได้ โดยมีวิธีการหลัก ๆ สองวิธีการ ดังนี้
วิธีการแรก ทำสองสามประโยคแรกหรือเกริ่นนำของเนื้อหาของคุณให้สั้น ๆ ก่อน เพราะการวิจัยพบว่าคนชอบอ่านประโยคสั้น ๆ ที่เข้าใจง่ายมากกว่า และผู้เข้าชมก็ไม่ชอบบล็อกข้อความที่มีเนื้อหากว้าง ๆ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณควรเขียนประโยคแรกของทุกบทความและหน้า Landing Page บนเว็บไซต์ของคุณให้สั้นมาก นอกจากนี้ ให้คั่น 5-10 ประโยคแรกระหว่างระยะขอบเพื่อให้สายตาของผู้คนไม่ต้องหันไปมาไกล ๆ
วิธีการที่สอง ขอแนะนำให้คุณเพิ่มสื่อมัลติมีเดียลงในเนื้อหาของคุณด้วย เช่น การใช้วิดีโอ เสียง แผนภูมิ สื่อโต้ตอบ แบบทดสอบ เกม และอินโฟกราฟิกด้วย เพราะเมื่อคุณมีมัลติมีเดียที่มีคุณภาพในเนื้อหาของคุณด้วย ก็จะทำให้เว็บไซต์ของคุณสะดุดตาผู้เข้าเช้าจำนวนมากด้วยเช่นกัน
อันที่จริง Google บอกให้ผู้ตรวจสอบพิจารณาหน้าที่มี “เนื้อหาเสริม” ด้วยเช่นกัน เพราะการใช้เนื้อหาเสริมถือว่าที่มีคุณภาพสูงกว่าหน้าเว็บไซต์ที่มีข้อความเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นการใช้มัลติมีเดียนั้นถือว่าคุ้มค่ามากกับการเขียนเนื้อหาลงบนเว็บไซต์ของคุณ
ขั้นตอนที่ 5 Keywords ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเนื้อหา
สองสิ่งสำคัญที่ถือว่าเป็นการวิธีสร้างกลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพ มีดังนี้
- อย่างแรก คุณต้องแน่ใจว่าได้ Keywords ของคุณลงไปแล้ว ซึ่งจะต้องอยู่ภายใน 100 คำแรกของหน้าเว็บไซต์คุณเอง และสิ่งนี้เรียกว่า “ความโดดเด่นของคีย์เวิร์ด” และเหตุผลที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเพิ่มการแสดงผลการค้นหาให้อยู่ในอันดับแรก ๆ หรือในหน้าที่สูงขึ้นสำหรับให้ Google พิจารณาหน้าเว็บไซต์กับคีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหา
- อย่างที่สอง การที่คุณเพิ่มลิงก์ภายในไปยังเนื้อหาหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้ด้วย
- อย่างสุดท้าย มีการใช้ Long Tail Keyword ในแท็กชื่อของคุณ โดยจำนวนของคีย์เวิร์ดที่จะนำมาใช้ในการเพิ่มกลยุทธ์ของ SEO ควรเป็นคีย์เวิร์ดที่มียอดการค้นหาสองพันกว่าครั้งในแต่ละเดือน
ดังนั้นมันจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องใช้เวลาในการจัดอันดับคีย์เวิร์ดที่ยากเช่นนี้ได้ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันยังเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บของคุณอยู่เรื่อย ๆ และเพราะแบบนี้คุณจึงควรสร้างลิงก์ไปยังหน้าอื่น ๆ ของคุณบนเว็บไซต์ด้วยเพื่อทำให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นด้วย
ขั้นตอนที่ 6 การแชร์เนื้อหาลงในโซเชียลมีเดีย
คุณควรมีการโปรโมตเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณของคุณบนโซเชียลมีเดีย เพราะแน่นอนว่าวิธีการนี้จะทำให้มีคน Like Comment Share หรือ Click เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นจึงมีสูตรในการทำ SEO Content บน Social Media สูตรหนึ่งจาก นั่นคือ การจำแนกรูปแบบการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียในการลง SEO Content
- 70% ของคอนเทนต์ทั้งหมดบน Social Media ของคุณจะต้องเป็นคอนเทนต์ที่สร้างคุณค่า และเป็นคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณอยากฟัง
- 20% ของคอนเทนต์ทั้งหมดบน Social Media ที่เป็นคอนเทนต์ของคนอื่น
- 10% ของคอนเทนต์ทั้งหมดบน Social Media ที่เน้นไปในเรื่องของการขาย การจัดโปรโมชั่น หรือแคมเปญต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมกิจกรรมการขาย
และสำหรับประเทศไทย Social Media ที่มีคนเล่นมากที่สุดน่าจะเป็น Facebook ซึ่งขอแนะนำว่าคุณควรไม่พลาดช่องทางนี้เด็ดขาด แต่ที่ดีที่สุดคือควรจะเลือกใช้เฉพาะตัวที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
ขั้นตอนที่ 7 การสร้างลิงค์
เวลาจะทำ SEO ให้เว็บไซต์ การปรับแต่งแค่บนเว็บไซต์ของเรานั้นมันยังถือว่าไม่เพียงพอ เพราะเว็บไซต์จะมีความน่าเชื่อถือได้ก็ด้วยการบอกต่อ ซึ่งก็คือ การที่มีเว็บไซต์อื่น ๆ ลิงก์เข้ามานั่นเอง เราเรียกเทคนิคนี้ว่าการทำ “Link Building” และไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมการสร้างลิงค์นั้นถึงสำคัญมาก เพราะในความเป็นจริงแล้วปัจจัยในการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาในปี 2019 พบว่าลิงก์ยังคง “สำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ”
ดังนั้นสำหรับปัจจุบันการสร้างลิงค์ถือว่ายังมีความสำคัญต่อการจัดอันดับของ Google อยู่มาก เพราะเป็นการที่คุณจะทำให้สามารถเข้าถึงเนื้อหาของคุณได้ และเพื่อให้บล็อกเกอร์เชื่อมโยงไปยังเนื้อหาของคุณได้ด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนที่ 8 การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของคุณ
ขั้นตอนสุดท้ายของคุณคือการดูว่าเนื้อหาของคุณมีประสิทธิภาพเป็นมากน้อยแค่ไหน โดยวิธีการทำคือคุณต้องพยายามติดตามการจัดอันดับเครื่องมือค้นหาของเว็บไซต์คุณอยู่เป็นประจำ และรวมไปถึงเช็คจำนวนการเข้าชมแบบออร์แกนิก ผ่านข้อมูลการแสดงผลของ Search Console ได้
แต่ที่คุณอย่าลืมเลยคือ การทำ SEO นั้นอาจต้องใช้เวลาสักระยะ และถึงแม้ว่าคุณจะทำตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างเคร่งครัดแล้ว แต่การทำ SEO ก็ยังคงใช้เวลา 2-3 เดือนในการ “เริ่มต้น” ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าวันหน้าจะมีคอนเทนต์ของคุณจะติดอันดับในทันที
สรุปพลังของ SEO Content
สรุปได้ว่า บทความ SEO นั้นมีพลังต่อการทำ SEO อย่างมาก เพราะมันคือการสร้างบทความที่มีคุณภาพ ที่สามารถโปรโมตให้กับธุรกิจของคุณได้ และยังสร้างคุณค่าต่อกลุ่มเป้าหมายตามแผนการตลาดซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อการทำ SEO อย่างมาก ดังนั้นหากเนื้อหาของเว็บไซต์คุณไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ก็อาจจะทำให้การทำ SEO ให้สำเร็จได้นั้นกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก ดังนั้นการหมั่นเรียนรู้เพิ่มเติมหรือคอยหาเคล็ดลับดี ๆ มาใช้ในการเพิ่มไอเดียการเขียนเนื้อหาบทความจึงถือเป็นสิ่งที่คุณควรทำอยู่เสมอ