SEO Visibility ตัวชี้วัดความสำเร็จในการทำ SEO

Picture of THAITOPSEO
THAITOPSEO
SEO Visibility ตัวชี้วัดความสำเร็จในการทำ SEO

ไม่ว่าคุณจะมีเว็บไซต์ที่ดีแค่ไหนก็ตาม แต่หากไม่ได้ถูกมองเห็นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าเว็บไซต์ธุรกิจที่ต้องการให้หน้าเว็บไซต์ของตนเองนั้นถูกมองเห็นได้บนผลการค้นหาหน้า Google แน่นอนว่าวิธีการที่ดีที่สุดย่อมเป็นการทำ SEO หรือการซื้อโฆษณา PPC แต่ในแง่มุมของประสิทธิภาพ และไม่ต้องใช้เงินมากแล้ว การทำ SEO ค่อนข้างจะเป็นวิธีการที่ตอบโจทย์ เพราะเป็นกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ผลดีได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหน้าเว็บไซต์ให้มีดี เนื้อหาที่มีคุณภาพ โดยสามารถเริ่มทำได้ฟรี

ซึ่งในกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีจนถูกค้นพบได้คงไม่พลาดไปกับ “SEO Visibility” หนึ่งในตัวชี้วัดที่จะบ่งบอกคุณภาพการทำ SEO ของคุณ ซึ่งในบทความครั้งนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับตัวชี้วัดนี้อย่างละเอียด ว่ามันคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรกับเว็บไซต์ที่ทำ SEO รวมไปถึงการปรับปรุงการทำ SEO ของคุณให้เหมาะสมและตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

SEO Visibility คืออะไร?

SEO Visibility คืออะไร


SEO visibility หรือ “การมองเห็นได้ของ SEO” คือตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดระดับความสำเร็จของการทำ SEO (Search Engine Optimization) ของเว็บไซต์หรือหน้าเว็บแต่ละเว็บเพจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตำแหน่งอันดับในหน้าผลการค้นหาของ Google หรือบนเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ตัวชี้วัดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งกับเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO เพราะมันจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความสามารถเว็บไซต์ของคุณ ว่าสามารถปรากฏบนหน้าผลการค้นหา (SERP) ของ Google ได้มากน้อยแค่ไหน และยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงระดับความสำเร็จของเว็บไซต์ที่ทำ SEO ด้วยเช่นกัน ว่ามียอดการคลิกหรือเข้าใช้งานไปยังเว็บไซต์ของคุณมากน้อยเพียงใด


ทำไมถึงต้องสนใจ SEO Visibility

ทำไมถึงต้องสนใจ SEO Visibility


ในโลกออนไลน์ที่กว้างใหญ่ มีเว็บไซต์อยู่มากมายนับไม่ถ้วน การจะถูกค้นหาและค้นพบได้คงเป็นเรื่องที่ยาก ถ้าไม่มีคำค้นหาหลัก (Keyword) หรือเป้าหมายที่ต้องการจะค้นหา และถึงแม้จะมีการทำ SEO ก็ตาม แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเว็บไซต์ของเราประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด หลายคนที่เริ่มทำ SEO มักคิดว่าต้องทำไปเรื่อย ๆ และรอระยะเวลาถึงจะแสดงผลลัพธ์ได้ แต่ด้วยการรู้ค่า SEO Visibility จะเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกอะไรหลาย ๆ อย่างและมีความสำคัญหลายด้านกับเว็บไซต์

  • บอกถึงความสำเร็จของการทำ SEO: ตัวชี้วัดนี้เป็นตัวบ่งบอกความสำเร็จของการทำ SEO ให้กับเจ้าของเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี เพราะการทำ SEO ไม่ได้มีระยะเวลากำหนดตายตัว ว่าต้องทำมากน้อยแค่ไหน ต้องใช้ความพยายามและความอดทนในการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้มันยังบ่งบอกถึงแค่อันดับในหน้าผลการค้นหาของคุณว่ามีอันดับที่เท่าไร และอันดับเว็บไซต์ที่ได้นั้นสอดคล้องกับยอดคลิกเข้าชมหรือไม่

  • เพิ่มโอกาสในการถูกค้นพบ: ยิ่งเว็บไซต์มีค่า SEO Visibility ที่สูงมากเท่าไร จะยิ่งช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบบนหน้าผลการค้นหาของคำหลัก (Keyword) นั้น ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการถูกค้นพบจนนำไปสู่การกดคลิกเข้าชมหน้าเว็บไซต์ และกลายเป็นยอดเข้าชม (Trafiic) ให้กับเว็บไซต์ รวมไปถึงการเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขายและรายได้จากผู้เข้าชม สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจเช่นกัน

  • สร้างความน่าเชื่อถือ: อย่างที่เรารู้กันดี ว่ายิ่งเว็บไซต์ไหนได้ปรากฏบนหน้าผลการค้นหามากเท่าไร จะยิ่งบ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นมีความน่าเชื่อถือมากเท่านั้น เว็บไซต์ที่ได้ขึ้นบนหน้าแรกของ Google ไม่ได้เพียงแค่ได้รับความน่าเชื่อถือจากเครื่องมือค้นหาอย่าง Google เพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ค้นหากันเองอีกด้วย


วัดค่า SEO Visibility อย่างไร ?

วัดค่า SEO Visibility อย่างไร


การทำ SEO ไม่ใช่เรื่องของการลองผิดลองถูก แต่เป็นกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ถูกใจเครื่องมือค้นหาอย่าง Google พร้อมประเมินผลลัพธ์ที่ทำได้เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ดีกว่าเดิม โดยหนึ่งในตัวชี้วัดที่ช่วยให้คุณเข้าใจถึงระดับความสำเร็จในการทำ SEO ของคุณเลยคือ SEO Visibility โดยวิธีวัดค่าจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้


1. เลือกคำค้นหาหลัก (Keyword)

อย่างแรกที่ต้องทำก่อนเลยคือ การระบุคำค้นหาหลัก (Keyword) ที่ต้องการให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏ ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของคุณทำเกี่ยวกับ “ร้านกาแฟ” คำค้นหาหลักของคุณที่ใช้งานคือ “กาแฟ” การใช้เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner ที่สามารถใช้งานได้ฟรี และสามารถตรวจสอบว่าคำหลักนั้นมีการค้นหา หรือมีการแข่งขันมากน้อยแค่ไหน


2. อันดับเว็บไซต์บน SERP

ขั้นตอนถัดไปคือการตรวจสอบอันดับเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา (SERP) โดยคุณสามารถใช้เครื่องมือทางการตลาดหรือการทำ SEO เฉพาะทางได้ โดยมีเครื่องมือฟรีอย่าง Google Search Console หรือเครื่องมือที่มีค่าใช้จ่ายแต่ได้รับความนิยมอย่าง Ahrefs หรือ SEMrush ในการตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ของคำค้นหาหลัก (Keyword) ที่ต้องการ


3. ค่า CTR (Click-Through Rate)

ค่า CTR หรือ Click-Through Rate คือค่าการคลิกที่คนคลิกเข้าเว็บไซต์ของเราโดยเฉลี่ย ยกตัวอย่างเช่น มีการค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์เรา 100 ครั้ง แล้วมีการกดคลิกเข้าเว็บไซต์ของเรา 10 ครั้ง จะถือว่าเว็บไซต์มีค่า CTR 10% ยิ่งมีค่า CTR สูงเท่าไรยิ่งบ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นมียอดการคลิกเข้าชม แล้วดึงดูดผู้คนเข้ามาได้มากเท่านั้น โดยสามารถวัดค่า CTR ผ่านเครื่องมือจากทาง Google อย่าง Google Analytics หรือ Google Search Console ได้แบบฟรี ๆ เมื่อได้ค่ามาแล้วให้ทำการจดบันทึกเพื่อนำไปใช้ในขั้นตอนถัดไป


4. สรุปและประเมินผลลัพธ์

หลังจากได้ค่าทั้งหมดแล้วไม่ว่าจะปริมาณการค้นหาคำหลัก ว่ามีการค้นหามากน้อยเท่าใด แข่งขันมากน้อยแค่ไหน และมีอันดับเว็บไซต์อยู่ที่อันดับเท่าไร (ยิ่งอยู่ใน Top 10 ได้ยิ่งดี) รวมไปถึงมีอัตรา CTR เท่าไร เมื่อได้ค่าทั้งหมดแล้วให้ทำการประเมินผลลัพธ์โดยรวมว่าสิ่งที่เราทำได้นั้นน่าพึงพอใจแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคำค้นหาหลัก มีปริมาณการค้นหาที่สูง การแข่งขันที่สูง แล้วคุณยังได้อันดับเว็บไซต์ที่ดี และมีอัตราการคลิก (CTR) เข้าเว็บไซต์ที่มาก ถือว่าการทำ SEO ของคุณประสบความสำเร็จ

แต่หากไม่ดีพอ คุณจำเป็นต้องแก้ไขในทีละส่วน พร้อมทำการปรับปรุงแผนการทำ SEO ของคุณให้ดีขึ้น เพราะการทำ SEO ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ยังจำเป็นต้องมีการติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณนั้นมีคุณภาพและมอบประโยชน์ได้ตามที่เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ต้องการ


วิธีการเพิ่ม SEO Visibility ให้ดีอย่างตรงจุด

วิธีการเพิ่ม SEO Visibility ให้ดีอย่างตรงจุด


อย่างที่รู้กันดีว่าค่า SEO Visibility นั้นมาจากภาพรวมการทำ SEO ของคุณ การจะเพิ่มค่าคะแนนของตัวชี้วัดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย หากคุณรู้วิธีการที่ถูกต้องพร้อมเทคนิคการทำที่ตรงจุด เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณได้ปรากฏบนหน้าผลการค้นหาของ Google เป็นอันดับแรก ๆ โดยมีเทคนิคและวิธีการดังต่อไปนี้


1. เลือกใช้งานคำค้นหา (Keyword) ให้ตรงจุด

คำค้นหาหลัก (Keyword) นับได้ว่าเป็นหัวใจหลักของการทำ SEO เลยก็ว่าได้ สิ่งแรกที่คุณควรรู้ก่อนใช้งาน Keyword คือการรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์คุณค้นหาอะไรบ้าง และต้องการอะไรจากข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็สามารถใช้เครื่องมือออนไลน์ฟรีอย่าง Google Keyword Planner มาช่วยในการตรวจสอบคำได้ ว่ามีปริมาณการค้นหาต่อเดือนเฉลี่ยเท่าไร และมีการแข่งขันสูงมากน้องแค่ไหน

โดยสิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำในการเลือกใช้ Keyword คือการดูคำที่เป็นคำที่ใช้งานได้จริง ไม่ควรเป็นคำที่ดูเหมือนสแปมหรือถูกสร้างมาเพื่อสแปม พร้อมทั้งเลือกใช้คำที่ปริมาณการค้นหาที่สูง แต่การแข่งขันต่ำ การเลือกใช้คำค้นหาหลักที่เราได้แนะนำไป จะทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าผลการค้นหาของคำที่เกี่ยวข้องได้ดียิ่งขึ้นด้วย


2. จัดทำ Content เนื้อหาที่มีคุณภาพ

ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์แบบไหน หรือทำอะไร Content ยังคงเป็นใจกลางความสำเร็จของทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการทำ SEO โดยเนื้อหาที่คุณทำลงเว็บไซต์ต้องเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพ มอบประโยชน์ให้แก่ผู้อ่านได้ รวมไปถึงเนื้อหาต้องเกี่ยวข้องกับคำหลัก (Keyword) ที่ใช้งานในหน้านั้น ๆ ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้พยายามเขียนเนื้อหาให้มีความน่าสนใจ และดูอ่านได้ง่าย เพราะจะช่วยมอบประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์อีกด้วย ด้วยการทำแบบนี้จะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกใจเครื่องมือค้นหาอย่าง Google และผลักดันอันดับเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้แน่นอน


3. เพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีบนเว็บไซต์

การจะช่วยเพิ่มยอดการคลิกเข้าชม (CTR) ของเว็บไซต์ ไม่ได้มีเพียงแค่เนื้อหาที่มีประโยชน์และน่าสนใจเท่านั้น แต่ตัวเว็บไซต์ต้องถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานรู้สึกดีทุกครั้งที่เข้าใช้งานด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งการวางเนื้อหา การวาง UX/UI ของเว็บไซต์, ความเร็วโหลดหน้าเว็บ (Page Speed) หรือการแสดงผลตามขนาดหน้าจออุปกรณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีให้กับผู้เข้าชม และสามารถสร้างโอกาสในการให้ผู้คนกลับเข้ามาใช้งานอีกครั้งได้ นอกจากนี้หน้าเว็บไซต์ที่ไม่สามารถมอบประสบการณ์ที่ใช้งานที่ดีให้กับผู้เข้าชมได้ จะทำให้ผู้เข้าชมกดคลิกออกจากเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้คะแนน Bounce rate สูงขึ้นได้ และทำให้อันดับลดลงได้ด้วยเช่นกัน
โดยวิธีการหนึ่งที่ทางเราแนะนำอย่างยิ่ง เลยคือการทดสอบการแสดงผลบนหน้าเว็บไซต์ผ่านวิธีการ A/B Testing ได้ เพื่อให้ได้หน้าเว็บไซต์ที่ดีที่สุดในตอบสนองการใช้งานที่ดีของผู้เข้าใช้งาน


4. จัดทำ Site Map ของเว็บไซต์

การดันอันดับเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ ต้องทำให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google เข้าใจในตัวเว็บไซต์ของคุณด้วย การใช้งานและทำ Site Map จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายมากขึ้น เมื่อเครื่องมือค้นหาเข้าใจเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น การจะผลักดันเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่ทั้งนี้เนื้อหาและภาพรวมของเว็บไซต์ต้องดีด้วยเช่นกัน


5. ทำ Backlink ที่มีคุณภาพ

การใช้งาน Backlink เป็นหนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการทำ SEO และผลักดันเว็บไซต์ให้ปรากฏบนหน้าแรกของ Google เพราะ Backlink เป็นส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มยอดเข้าชมและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี แต่การใช้งาน Backlink เองก็จำเป็นต้องเลือกใช้งานให้ถูกต้องและมีคุณภาพด้วยเช่นกัน โดยสิ่งหนึ่งที่ขอแนะนำในการใช้งาน Backlink เลยคือ ควรเป็นลิงก์ที่ได้รับจากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน ไม่ควรซื้อหรือหาลิงก์จากเว็บไซต์ที่เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องมาใช้อย่างเด็ดขาด เพราะ Backlink ที่ไม่มีคุณภาพ จะทำให้เว็บไซต์อันดับลดลงได้ง่ายกว่าเดิม


6. แชร์เนื้อหาลงสื่อโซเชียลมีเดีย (Soical Media)

การเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์ยังเป็นเป้าหมายหลักของหลาย ๆ เว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็นเว็บทั่วไปหรือเว็บธุรกิจ ดังนั้นหนึ่งในวิธีการที่จะเพิ่มยอดเข้าชมเว็บที่ดีที่สุด คือการแชร์เนื้อหาหรือหน้าเว็บไซต์ลงบนสื่อโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, IG หรือ TikToK เพราะเว็บไซต์ที่ได้ผ่านตา มักจะดึงดูดผู้คนให้กดคลิกเข้าชม เมื่อมีการกดคลิกเข้าชม เว็บไซต์ก็จะได้อัตราการคลิก (CTR) ที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน



บทสรุป SEO Visibility ตัวชี้วัดการทำ SEO ของเรา

เป้าหมายหลักการทำ SEO ของหลาย ๆ เว็บไซต์คือต้องการให้เว็บไซต์ของตัวเองนั้นถูกค้นพบ หรือถูกเห็น จนนำไปสู่การกดคลิกเข้าชม และสามารถสร้างยอดขายได้ (สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจ) การทำ SEO จึงกลายเป็นกระบวนการที่หลาย ๆ เว็บไซต์ในยุคออนไลน์พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่ในกระบวนการทำจริงไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้วันเดียวแล้วจบทันที แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความพยายามและความอดทนเป็นอย่างมากในการทำ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณที่ทำ SEO ได้ปรากฏขึ้นหน้าแรกของผลการค้นหา Google

ดังนั้นการรู้ว่า SEO Visibility ของตัวเองเป็นอย่างไร จะเป็นตัวชี้วัดและบ่งบอกว่าการทำ SEO ของคุณนั้นว่าดีแค่ไหน ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด และรู้ว่าคุณกำลังเดินทางในทิศทางในการทำ SEO ที่ถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ ในการให้เว็บไซต์ได้ปรากฏบนหน้าผลการค้นหาของคำหลัก (Keyword) ที่เกี่ยวข้อง

Search
Categories