ทุกครั้งที่มีการทำเว็บไซต์ เราคงต้องหวังให้เว็บไซต์ของเรานั้นออกมาดูดีและใช้งานได้จริง ซึ่งในการทำให้เป็นจริงได้ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญ หรือที่เรียกว่าผู้พัฒนาเว็บไซต์ (Web Developer) แต่หากต้องการทำเว็บไซต์ให้ติดยอดอันดับผลการค้นหา (SERP) มีวิธีอยู่ 2 แบบคือ เราศึกษาเรื่องการทำ SEO ด้วยตนเองอย่างจริงจัง แล้วลงมือทำเองจริง (ต้องทุ่มเทมาก) หรือการใช้บริการรับทำ SEO จากบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ
ในการทำ SEO มีสิ่งต้องโฟกัสคือ On-Page และ Off-Page หรือหน้าเว็บหรือหลังบ้านเว็บ เนื้อหาภายในแต่ละส่วนมียิบย่อยมากมาย แต่ทั้งสองคือสิ่งสำคัญในการทำ SEO แต่เบื้องหลังนั้น แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่า เทคนิคเพิ่มเติมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่ทำ SEO ของคุณให้ดีขึ้นไปอีกระดับ หรือที่เรียกกันว่า Technical SEO บทความนี้จะพาไปรู้จักกันว่ามันคืออะไร เว็บไซต์ที่ทำแล้วเป็นอย่างไร และเทคนิคนี้มีอะไรบ้าง
Technical SEO คืออะไร
Technical SEO คือ เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน (On-Page / Off-Page) ของการทำ SEO ให้เพิ่มไปอีกระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น การทำแผนผังเว็บไซต์ (Site map), ความเร็วโหลดหน้าเว็บไซต์ (Page Speed) หรือการทำลิงก์ (Link) ด้วยสิ่งเหล่านี้ทำเพื่อให้ Bot ของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google เข้ามาดูและเก็บรวบรวมข้อมูล (Crawler) ได้ง่าย และเข้าใจเกี่ยวกับเว็บไซต์ได้มากขึ้นกว่าเดิม
โดยปกติแล้วการทำ SEO แบบทั่วไปนั้นได้ผลดีในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่มักมีปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ไม่ปลอดภัย ข้อมูลภายในเว็บไม่เป็นระเบียบ หรือลิงก์ (Link) ที่ใช้ในเว็บไซต์ใช้งานไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนจะทำให้การทำ SEO ของคุณถอยหลังลงไป ดังนั้นเพื่อไม่ให้การทำ SEO ของคุณถอยหลัง และเดินหน้าต่อไปได้ คุณต้องใช้ Technical SEO เข้ามาช่วยด้วย
Technical SEO ทำแล้วให้ผลดีอะไรบ้าง
พอทราบกันไปแล้วว่า Technical SEO คืออะไร และจุดประสงค์หลักคือ การทำให้เครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google เข้ามาเก็บรวบรวมข้อมูล (Crawler) เพื่อให้เข้าใจเว็บไซต์ได้ดีขึ้น พร้อมเพิ่มยอดอันดับผลการค้นหา (SERP) ซึ่งการใช้เทคนิคเหล่านี้ล้วนส่งผลดีต่อเว็บไซต์ของคุณอย่างแน่นอน โดยผลดีที่ได้มีดังต่อไปนี้
1. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ที่คุณวางใจได้
สิ่งแรกของการทำเว็บไซต์คือการทำให้ตัวเว็บนั้นมีความปลอดภัย ตัวอย่างง่ายเลยคือ เว็บที่ขึ้นต้นด้วย HTTP กับ HTTPS ทั้งสองอย่างมีความต่างกันที่ชัดเจน HTTP คือเว็บที่ยังไม่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัย และ HTTPS คือเว็บไซต์ที่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัยและรับรอง SSL
โดยเหล่าเว็บไซต์ที่ได้รับรองว่าปลอดภัยแล้วจะช่วยให้ตัวระบบเก็บรวบรวมข้อมูล (Crawler) ของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google เข้ามาเก็บได้ง่ายขึ้น อีกทั้งป้องกันการแอบอ้างชื่อเว็บไซต์ของเรา พร้อมทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกปลอดภัยที่ได้เข้าเว็บไซต์นี้
2. ความเร็วโหลดของหน้าเว็บไซต์ (Page Speed) ที่น่าพึงพอใจ
เว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคดังกล่าวมักมีความเร็วโหลดของหน้าเว็บได้ดีและน่าพึงพอใจแก่ผู้ใช้งาน และ Page Speed เป็นอีกส่วนสำคัญหนึ่งของการทำ SEO ในส่วนหน้า On-Page อีกด้วย ยิ่งเว็บไซต์มีความเร็วโหลดหน้าเว็บที่แสดงผลได้เร็วมากเท่าไร จะส่งผลดีต่อการทำให้เว็บไซต์คุณขึ้นบนอันดับผลการค้นหา (SERP) อีกด้วย
3. รองรับการแสดงผลบนมือถือ
เครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการรองรับการแสดงผลบนมือถือหรืออุปกรณ์พกพาเคลื่อนที่กันมากขึ้น ไม่ได้โฟกัสแค่การแสดงผลบน Desktop แต่เพียงอย่างเดียวแล้ว ดังนั้นเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคนี้มักจะรองรับการแสดงผลบนมือถือได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง ผ่านกระบวนการปรับแต่ง Mobile Optimization
4. โครงสร้าง Site Map ของเว็บไซต์ชัดเจน และเก็บข้อมูลได้ง่าย
เว็บไซต์ที่ผ่านเทคนิคดังกล่าว มักมีการทำแผนผัง Site Map ที่เป็นระเบียบและชัดเจน ซึ่งทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์คุณได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการที่ตัว Bot เก็บรวบรวมข้อมูลเข้ามาเก็บได้อย่างตรงจุด โดยทั่วไปแล้ว Site Map มักใช้ในรูปแบบ XML ที่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์คุณมีหน้าเว็บอะไรบ้าง และทำเกี่ยวกับอะไร ซึ่งการทำ Site Map เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีหน้าเว็บเพจจำนวนมาก หรือมีไฟล์ข้อมูลจำพวกภาพ เสียง และวิดีโอจำนวนมาก เพื่อให้ตัว Bot เข้ามาได้ง่าย รู้ว่าไปทางไหนแล้วจะได้ข้อมูลอะไร
9 Technical SEO ทำให้เว็บไซต์ดีขึ้นไปอีกขั้น
กล่าวนำไปกันแล้วว่า Technical SEO คืออะไร ผลดีที่ได้จากการใช้เทคนิคนี้มีอะไรบ้าง ทีนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคการใช้งานจริง พร้อมทั้งตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณไปในตัวกันเลยดีกว่า เพื่อให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO คุณก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง
1. HTTP / HTTPS ความปลอดภัยของเว็บไซต์
HTTP กับ HTTPS มักสังเกตเห็นได้ที่ URL ของเว็บไซต์ ทั้งสองมีความต่างกันในเรื่องหนึ่ง HTTP คือเว็บที่ยังไม่ได้รับการรับรอง กับ HTTPS คือเว็บที่ได้รับการรับรองจาก SSL
ซึ่งส่วนนี้มีความสำคัญมากกับการทำเว็บไซต์ เพราะ Google ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น นอกจากนี้การทำเว็บไซต์ให้ได้รับการรับรองจาก SSL จะทำให้ป้องกันการปลอมแปลงเว็บไซต์ และเป็นหลักประกันว่าผู้เข้าชมได้รับความปลอดภัยจากเข้าชมเว็บไซต์ ไม่มีการดึงข้อมูลของผู้เข้าชมแบบลับ ๆ
ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่า ถ้าหากเว็บไซต์คุณใช้ HTTPS เพื่อให้หน้าเว็บไซต์นั้นได้ไต่อันดับบนหน้าผลการค้นหา (SERP) ของ Google ไปอีกขั้น
2. URL ที่ชัดเจนทั้ง User และตัวเก็บข้อมูล (Crawler)
ปกติแล้วผู้เข้าใช้งานและตัว Bot รวบรวมข้อมูลของ Search Engine จะเข้าถึงเว็บไซต์ที่มี URL สองแบบคือ
- https://yourwebsite.com
- https://www.yourwebsite.com
โดยทั่วไปแล้วการเข้าถึงเว็บจะต้องเข้าแบบใดแบบหนึ่งเป็นหลัก แต่หากมีการเข้าถึงทั้งสองแบบจะทำเกิดปัญหาหน้าเว็บซ้ำกัน เช่น Link ภายในเว็บไซต์พาไปยังหน้าเว็บแบบที่มี “www” แต่บางลิงก์กลับดันพาไปในแบบที่ “ไม่มี www” ซึ่งการทำแบบนี้ส่งผลเสียอย่างชัดเจนกับการทำ SEO ดังนั้นควรเลือกใช้งานแบบใดแบบหนึ่งให้ชัดเจนและเป็นหลักกับเว็บไซต์ เพื่อให้ทั้งผู้เข้าชมและตัวเก็บรวบรวมข้อมูล (Crawler) เข้าใจตรงกัน
3. Page Speed ที่เร็วพอใจ Google
หากคุณเป็นผู้รับผิดชอบจัดการหน้า On-Page คงต้องรู้จักกับ Page Speed หรือความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการทำ SEO การทำหน้าเว็บไซต์ให้โหลดเร็วทันใจ Google สามารถเข้าเช็คได้ที่ PageSpeed Insights เกณฑ์การให้คะแนนจะมีตั้งแต่ 0 – 100 และแบ่งเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน หากตรงไหนได้คะแนนต่ำ คุณสามารถแก้ไข เพื่อให้ได้คะแนนที่น่าพึงพอใจ
ตัวอย่างหน้าเช็ค Page Speed
ที่มา : https://www.semrush.com/blog/technical-seo/
4. รองรับการแสดงบนมือถือและอุปกรณ์พกพาได้อย่างดี
แค่ความเร็วหน้าโหลดเว็บไซต์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องรองรับการแสดงผลบนมือถือหรืออุปกรณ์พกพาได้ด้วย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบนการค้นหาของ Google ในปัจจุบัน ผู้ใช้งานมักค้นหากันบนมือถือหรืออุปกรณ์พกพากันเป็นหลัก มีข้อมูลบอกไว้ว่า 70% ของผู้ค้นหาบน Google ใช้งานบนมือถือและอุปกรณ์พกพา
ดังนั้นการทำหน้าเว็บไซต์ให้รองรับการแสดงผลบนมือถือจะช่วยในเรื่องการทำ SEO ได้อย่างดีเยี่ยม และเหมาะกับยุคสมัยสมาร์ทโฟนมือถืออย่างชัดเจน ซึ่งการทำหน้าแสดงผลบนมือถือควรต้องเข้าใจมุมมองผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน และห้ามละเลย Page Speed ไปโดยเด็ดขาด
5. จัดแบ่ง Structured Data โครงสร้างข้อมูลให้ชัดเจน
การที่จะทำให้เครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของเราทำอะไรบ้าง แค่คำค้นหาหลัก (Keyword) อย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ คุณต้องแบ่งข้อมูลออกอย่างชัดเจน เป็นโครงสร้างและเป็นระเบียบ หากให้ยกตัวอย่างจะเป็นแผนผังเวลาทำ Excel ที่แบ่งข้อมูล ตัวเลข ชื่อ เบอร์โทร จำนวนเงิน อย่างชัดเจน เว็บไซต์ก็เช่นกัน
การแบ่งข้อมูลที่ชัดเจนสามารถทำได้ด้วยการทำ XML Site Map เพื่อทำให้บ่งบอกว่าหน้าเว็บแต่ละเว็บทำเกี่ยวกับอะไร แบ่งเป็นหมวดหมู่ เพื่อที่เวลา Bot ที่เข้ามาเก็บรวบรวมข้อมูล (Crawler) ของ Search Engine อย่าง Google เข้ามาเก็บข้อมูล จะได้เก็บข้อมูลได้ง่าย และส่งผลต่ออันดันบนผลการค้นหา (SERP) ได้ดี
6. ตรวจสอบและแก้ปัญหา Link ที่เสียหายหรือแสดงผลไม่ได้
การทำ SEO คงขาดไม่ได้การใช้งานลิงก์ (Link) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและยอดการเข้าถึง (Traffic) ของเว็บไซต์ แต่หากการใช้งานดังกล่าวมีความเสียหายหรือใช้งานไม่ได้ เช่น เว็บปลายทางบนลิงก์ไม่สามารถแสดงผลได้ หรือลิงก์ปลายทางไม่ตรงกัน การที่มีลิงก์เหล่านี้อยู่ในเว็บไซต์ Google จะมองว่าเว็บไซต์ไม่ดี และไม่มีคุณภาพ
ยกตัวอย่างเช่น หาก Bot ที่เข้ามาเก็บรวบรวมข้อมูล พบว่าการเข้าลิงก์ กว่าจะไปถึงหน้าลิงก์หลักที่เป็นปลายทางได้ ต้องผ่านการคลิกถึง 8-10 ครั้ง Bot จะปัดตกไป หรือการที่ลิงก์ส่งไปยังเว็บไซต์แล้วเกิดปัญหา Error 404 เป็นต้น ดังนั้นการใช้งานลิงก์ (Link) ควรต้องระมัดระวังเป็นอย่างดี ไม่ให้มีลิงก์ที่ไม่มีคุณภาพหรือใช้งานไม่ได้อยู่บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ
7. Robots.txt ช่วยให้ Bot เข้าเก็บข้อมูลได้ถูกจุด
ก่อนที่จะมีการจัดอันดับบนผลการค้นหา (SERP) ของ Search Engine อย่าง Google จะมีการส่ง Bot เข้าไปเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลภายในเว็บไซต์ ซึ่งการใช้งานไฟล์ robots.txt ในการแนะนำข้อมูลสำคัญเจาะจงให้ Bot มาเก็บ หรือการใช้ Meta Tag เพื่อให้ไม่ให้ Bot มาเก็บข้อมูลที่เราต้องการ
การทำแบบนี้จะทำให้เราเลือกได้ว่าอยากให้ Bot มาเก็บตรงไหนได้บ้าง แต่มีเรื่องต้องระวังในการใช้งานด้วยเช่นกัน หากมีคำสั่งหรือตัวไฟล์ใช้งานกันเยอะไป จะทำให้คำสั่งบนเว็บไซต์ขัดแย้งกันเองได้ และทำให้คุณภาพเว็บไซต์แย่ลงกว่าเดิมได้เช่นกัน
8. การระบุภาษาและภูมิภาคของเว็บไซต์ที่จะแสดงให้ชัดเจน
หากหน้าเว็บไซต์คุณมีหน้าเว็บที่แสดงภาษาได้หลากหลายเวอร์ชัน ควรแจ้งหรือระบุกับทาง Google ให้ชัดเจน เพราะการระบุภาษาที่ชัดเจนจะช่วยทำให้ Google ทราบว่าควรแสดงให้กับผู้ค้นหาภาษาและภูมิภาคใดได้บ้าง แต่ถึงแม้หน้าเว็บคุณจะมีหลายภาษาและไม่ได้แจ้งกับทาง Google ไว้ Google ก็อาจจะพบและระบุเองได้
แต่การทำแบบนั้นอาจจะไม่ได้แสดงผลให้กับผู้ที่ต้องการเห็นจริง ดังนั้นการระบุภาษาและภูมิภาคที่จะแสดงให้ชัดเจนกับ Google จะช่วยทำให้หน้าเว็บไซต์คุณแสดงผลได้ถูกจุดมากยิ่งขึ้น วิธีระบุหน้าเว็บทางเลือกให้ Google ทราบจะเป็นแบ่ง 3 วิธี หรือเรียกกันว่า hreflang
- HTML
- ส่วนหัว HTTP
- แผนผังเว็บไซต์ (Site Map)
9. เครื่องมือ SEO ช่วยคุณได้เช่นกัน
บางครั้งการทำเว็บไซต์ที่มีมาอย่างยาวนาน หรือมีไฟล์ข้อมูลเยอะ อาจจะไม่รู้ว่าจุดไหนต้องแก้ไข หรือโฟกัสจุดที่จะแก้ไขไม่ถูก ลองใช้เครื่องมือ SEO อย่าง SEMrush / Ahrefs ในการช่วยแก้ปัญหาดูสิ เพราะอุปกรณ์เหล่านี้ขึ้นชื่อในเรื่องการทำ SEO เป็นอย่างดี ทั้งการตรวจสอบ แนะนำและบอกจุดที่เป็นปัญหาอย่างชัดเจน เครื่องมือตัวนี้ตอบโจทย์ในการทำ SEO ได้ดีเลยทีเดียว
บทสรุป Technical SEO เบื้องหลังที่ขาดไม่ได้กับเว็บไซต์ที่ทำ SEO
เว็บไซต์ที่ต้องการขึ้นบนยอดอันดับผลการค้นหา (SERP) อย่าง Google ต้องพึ่งหลัก SEO เข้ามาช่วยในการทำเว็บไซต์ เรื่องเหล่านี้คนทำเว็บไซต์หรือนักการตลาด SEO ทั้งหลายล้วนรู้ดี แต่การทำ SEO ให้ดีไปอีกขั้น ต้องพึ่งเทคนิคหรือที่เรียกว่า Technical SEO มาช่วยในอีกระดับหนึ่ง เพื่อให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO ยกระดับไปอีกระดับหนึ่ง
และปฏิเสธไม่ได้จริงว่า Technical SEO เป็นพื้นฐานเบื้องหลังที่ขาดไม่ได้กับการทำ SEO เพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องการทำ SEO ได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยในเรื่องความปลอดภัย การจัดทำแผนผังข้อมูล (Site Map) ที่ชัดเจนและเป็นระเบียบ สิ่งเหล่านี้ล้วนจะเป็นพื้นฐานให้การทำ SEO บนเว็บไซต์ในอนาคตเป็นไปได้อย่างราบรื่นด้วยเช่นกัน