เคยสงสัยหรือไม่? ว่าทำเว็บไซต์อย่างไรก็ไม่ติดหน้าอันดับการค้นหาแรกของ Google สักที โดยในวันนี้เราจะพามาดูสาเหตุสำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เกี่ยวกับ User โดยตรงนั้นก็คือ “การออกแบบ UX” (User Experience) ซึ่งนับว่ามีผลกระทบอย่างมากต่อการทำ SEO (Search Engine Optimization) ที่นับเป็นกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา ดังนั้น เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับสูง ๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปรับปรุง UX หรือ User Experience เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
โดยในบทความนี้จะอธิบายว่า User Experience จะส่งผลอย่างไรกับการทำ SEO และวิธีไหนจะส่งผลให้การปรับเว็บไซต์ติดอันดับได้มากขึ้นจากการปรับปรุงส่วนนี้
UX (User Experience) คืออะไร? มีความใกล้ชิดอย่างไรกับ SEO
User Experience หรือ UX คือ ประสบการณ์การใช้งานที่ผู้ใช้งานจะได้รับ ก็ต่อเมื่อเข้าใช้งานบนหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน โดยการออกแบบคุณสมบัติสำคัญของ UX คือความสะดวกสบายในการใช้งาน, ความง่ายในการนำทาง, การให้ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว และความปลอดภัยในการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดี สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างเหมาะสม ซึ่งการได้อะไรบางอย่างออกไป (ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ) จะมีผลต่อเว็บไซต์เสมอ
จึงเรียกได้ว่าขั้นตอนนี้มีความละเอียดอ่อนในทุกกระบวนการไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงภาพรวมใหญ่บนหน้าเว็บไซต์ ล้วนแล้วแต่นับเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งานให้กับ User ได้ทั้งสิ้น
ความสำคัญของ UX ที่มีผลต่อ SEO
กล่าวได้ว่าในยุคดิจิทัล User Experience ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญมากขึ้นที่ส่งผลต่อการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา (SEO) โดยการออกแบบ UX ที่ดีนั้นสามารถส่งผลอย่างมากต่อความสำเร็จโดยรวมของเว็บไซต์ที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความพึงพอใจของ User ลดอัตราตีกลับ (Bounce rate) และเพิ่มการมีส่วนร่วม ซึ่งจะนำไปสู่การไต่ Ranking ที่สูงขึ้น
หนึ่งในวิธีหลัก ๆ ที่ User Experience จะส่งผลต่อการทำ SEO โดยตรงคือ เมื่อ User มีประสบการณ์ที่ดีบนเว็บไซต์ของเรา พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะอยู่บนเว็บนานขึ้น มีโอกาสเข้าชมหน้าอื่นมากขึ้น และมีส่วนร่วมกับเนื้อหา เช่น การแสดงความเห็นหรือให้ข้อมูลเพิ่ม กิจกรรมทั้งหมดจะส่งต่อไปยังเครื่องมือค้นหาว่าเว็บไซต์ได้มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ User หรือไม่ โดยจะเอาค่าวัดต่าง ๆ ที่ได้ไปคำนวณอีกครั้งเพื่อส่งผลให้เกิดการจัดอันดับในท้ายที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นหากเว็บของคุณได้คะแนนเชิงบวกก็สามารถเพิ่มโอกาสที่ User จะแชร์เนื้อหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งนำไปสู่การเข้าชมและการรับรู้ถึงแบรนด์มากขึ้น
อีกแง่มุมที่สำคัญของที่ส่งผลต่อ SEO คือ “ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Page Speed)” เพราะจะสังเกตได้ว่า User ในปัจจุบันแทบจะรอให้เกิดการค้างของหน้าเว็บไซต์ไม่ได้เลย และเหล่าเครื่องมือค้นหาล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากสิ่งนี้บ่งชี้ถึงความถูกต้องทางเทคนิคและเป็นมิตรกับ User โดยตรง ซึ่งการที่เว็บไซต์โหลดช้าอาจส่งผลเสียต่อประสบการณ์อย่างร้ายแรงเลยก็ว่าได้ ส่งผลให้อัตราตีกลับสูงขึ้น มีผลให้อันดับของเครื่องมือค้นหาลดลง
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพ User Experience ของเว็บไซต์เพื่อให้แน่ใจว่าโหลดได้เร็วพอ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ User ได้อย่างเต็มที่
เทคนิคและวิธีการปรับปรุง UX เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับดีบน Search engine
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ UX และ SEO ของเว็บไซต์คุณพร้อมกัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเลยก็คือการวัดตามเมตริกที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณแซงหน้าคู่แข่งเพื่อเพิ่มการมองเห็นบน Google ได้อย่างดีเยี่ยม ได้แก่
1. ค้นหา Information Architecture ที่เหมาะกับเว็บไซต์
Information architecture หมายถึงวิธีการที่เราสามารถจัดเรียงและนำเสนอเนื้อหาของเว็บไซต์ โดยจำเป็นที่จะต้องมีความชัดเจนและใช้งานได้ง่าย เพราะส่งผลต่อประสบการณ์ของ User และ SEO (Search Engine Optimization) โดยตรง ซึ่งการทำ UX research สามารถช่วยให้เราสร้าง information architecture ที่ชัดเจนและนำเสนอได้ดี โดยการเข้าใจว่าผู้ใช้งานเว็บไซต์มีพฤติกรรมการใช้งานอย่างไร ต้องการข้อมูลอะไร ไปจนถึงการปักหมุดให้เรารู้ได้ว่าเราจะออกแบบเว็บไซต์เพิ่มเติมอย่างไร เช่นการจัดเรียงเมนู การเขียนเนื้อหาบทความ การใช้สี ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานของ User เพิ่มโอกาสในติดต่อ หรือสร้าง Call to action
2. การออกแบบการนำทางที่ชัดเจน
เป็นส่วนหนึ่งของ Information architecture ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การตั้งชื่อสินค้า/บริการ/หน้าเว็บไซต์ที่ชัดเจน จะช่วยให้ User และอัลกอริทึมเข้าถึงเว็บไซต์เข้าใจง่ายขึ้นโดยการตั้งชื่อที่ชัดเจน และใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายช่วยให้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันสามารถนำทางไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น รวมถึง Googlebot ก็สามารถที่จะ Index เว็บไซต์เราได้ง่ายขึ้นด้วย ในขณะที่ User จะรู้ได้ทันทีว่าการนำทางในแต่ละครั้งจะไปปรากฏเนื้อหาใดให้เรียนรู้เพิ่มเติมได้ ซึ่งอาจอาศัยเทคนิคการทำ Internal links เข้ามาช่วยนั่นเอง
3. Content ดีพอแล้วหรือยัง?
การสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ User ต้องการ เป็นสิ่งสำคัญทั้งต่อ User และเครื่องมือค้นหา โดยเครื่องมือค้นหาส่วนใหญ่จะเช็กเนื้อหาในเว็บไซต์โดยการค้นหา Keyword แต่ทั้งนี้กลุ่มเครื่องมือ Analytics Tools ยังตรวจสอบด้วยว่า User และเครื่องมือค้นหาต่างมีการใช้งานและปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาของเว็บไซต์อย่างไร ระดับความถี่ของการที่ User ใช้งาน อยู่ในเว็บไซต์นานน้อยแค่ไหน มีการเข้าไปชมเนื้อหาเยอะแค่ไหน ค่า Bounce Rate ต่ำหรือไม่ ซึ่งจะบอกได้ว่า User ชอบเนื้อหาของคุณแค่ไหนด้วย เหตุนี้การปรับปรุง UX ที่ช่วยให้ User เข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มคะแนนของการทำ SEO ได้มากขึ้น ที่สำคัญต้องอย่าลืมว่า Content ต้องมีคุณค่าและประโยชน์บางอย่างเสมอ
4. กำหนดหัวข้อหลัก/ Keyword ที่ชัดเจน
การจัดโครงสร้างเนื้อหา (Structure content) และกลุ่มเนื้อหาตาม Keyword และหัวข้อหลักได้อย่างถูกต้องชัดเจนเป็นสิ่งที่สำคัญในการออกแบบเว็บไซต์ เนื่องจาก User จะเข้ามาค้นหาได้ง่าย เครื่องมือค้นหายังสามารถระบุจัดเรียงเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างมีระเบียบ ในกรณีที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณมีความซับซ้อน ไม่ควรพยายามจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดลงในหน้าเว็บไซต์เดียว เพราะผู้ใช้งานจะไม่สนใจ หากเนื้อหาเกินความจำเป็นหรือยืดยาว (เสี่ยงต่อการมีหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องกันปะปน) อาจทำให้ User สับสนและออกจากเว็บไซต์เร็วขึ้น ส่งสัญญาณให้กับอัลกอริทึมจัดเรียงเว็บไซต์มองว่าว่าเว็บไซต์นั้นมีปัญหา ดังนั้นการจัดโครงสร้างเนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง
5. ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงของ User
การให้ความสำคัญกับการเข้าถึงของ User เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการออกแบบเว็บไซต์ การให้ User สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายและรวดเร็วจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานของ User การเขียนสคริปต์ที่ชัดเจน การใช้ Meta description และ Meta tag จะช่วยให้ผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้การให้ Alt tag กับรูปภาพทุกภาพ จะช่วยให้ผู้ใช้งานที่มีความต้องการในการเข้าถึงเนื้อหาด้วย
6. ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ หรือ Page Speed มีความสำคัญอย่างมากในการออกแบบเว็บไซต์ เป็นสิ่งที่ User และเครื่องมือค้นหาต่างก็ต้องการเช่นกัน การใช้เว็บไซต์ที่มีเวลาโหลดนาน อาจทำให้ผู้ใช้งานไม่พอใจและในเชิงเทคนิคอาจบอกได้ว่าเว็บไซต์ของคุณกำลังมีปัญหาบางอย่างอยู่ เพื่อลดเวลาโหลดเว็บไซต์คุณควรทำการปรับปรุงการโค้ด ไปจนถึงการปรับโครงสร้างต่าง ๆ ของเว็บไวต์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ตัวอย่างเช่น การใช้งานรูปแบบไฟล์รูปที่เหมาะสม, การใช้งานเครื่องมือช่วยสำหรับรวมพร้อมย่อไฟล์ข้อมูล CSS และ JavaScript, การใช้งาน CDN และอื่น ๆ ที่เป็นเทคนิคการออกแบบเว็บไซต์ที่สามารถช่วยลดเวลาโหลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้เพียงแค่วินาทีเดียวก็อาจทำให้ User มีประสบการณ์ที่ดีขึ้นได้และเพิ่มอัตราการเข้าถึงได้มากขึ้น
7. สร้าง URL ที่เป็นมิตร
การออกแบบ URL ที่ใช้งานได้ง่ายเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบเว็บไซต์ เนื่องจาก URL ที่มีตัวเลขและสัญลักษณ์ต่าง ๆ อาจทำให้ผู้ใช้งานไม่ได้รับความเชื่อถือ (อาจเพราะดูไม่จริงจังหรือเป็นทางการ) วิธีที่ดีที่สุดคือออกแบบ URL โดยที่เนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ที่ความชัดเจนจาก URL ซึ่งมีการใช้ป้ายกำกับการนำทางและ Keyword ในเส้นทาง URL เพื่อให้ User มีประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด นอกจากนี้ การใช้ URL ที่สะอาดและเรียบร้อย จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
8. เพิ่มรูปภาพลงในเว็บไซต์ให้เพียงพอ
การเพิ่มรูปภาพลงในเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานของ User เพราะธรรมชาติของมนุษย์มักเข้าใจหรือรับรู้ในสิ่งที่เป็นรูปธรรมมาก่อนเสมอ นอกจากนี้การพยายามนำรูปภาพที่มีความสนใจและมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารของข้อความที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น Infographic หรือ Video ก็จะช่วยให้ User สามารถเข้าใจและรับรู้เนื้อหาได้ดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อการสร้างประสบการณ์อย่างมาก ที่สำคัญอัลกอริทึมการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา ยังชอบให้คะแนนเว็บไซต์ที่มีการใช้รูปภาพมากขึ้นอีกด้วย
9. ปรับแต่ง Meta attributes
Meta attributes เป็นข้อมูลที่อยู่ในส่วนหัวของเว็บไซต์ที่ช่วยให้ User และเครื่องมือค้นหา “เข้าใจเนื้อหา” ของหน้าเว็บไซต์ได้โดยรวดเร็ว และสามารถระบุได้ว่าหน้าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือ Keyword ใด ซึ่งการเขียน Meta attributes จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาตรวจสอบได้ว่าหน้าเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวข้องกับคำค้นหาหรือไม่ และเมื่อ User เข้ามายังหน้าเว็บไซต์ของคุณ พวกเขาจะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าหน้าเว็บไซต์นี้มีเนื้อหาตามที่ต้องการหรือเปล่า?
10. ป้องกันลิงก์เสียด้วย Redirect
คุณต้องอารมณ์เสียแน่ ๆ หากพบว่าการเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์หนึ่งแล้วปรากฏว่าไม่พบหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการ ซึ่งจะทำให้ User รู้สึกไม่พอใจและเกิดความสับสนเป็นธรรมดา สิ่งนี้ส่งผลร้ายแรงต่อภาพจำและไม่เป็นมืออาชีพของเว็บไซต์ ซึ่งอาจทำให้พวกเขาไม่อยากกลับมาใช้งานเว็บไซต์ของคุณอีกต่อไป ดังนั้น ควรจัดการเปลี่ยนลิงก์แบบอัตโนมัติ โดยเรียกใช้เทคนิคการเปลี่ยนเส้นทางของ URL ซึ่งจะช่วยลดปัญหาของ Broken link หรือลิงก์ที่เสียได้อย่างมาก จำไว้ว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นบนเว็บไซต์คุณแม้แต่หน้าเดียว เพราะ Google สามารถตรวจสอบได้!
11. ทำให้ Mobile friendly
Mobile-friendly หมายถึงการออกแบบเว็บไซต์ ให้สามารถแสดงผลได้อย่างเหมาะสมกับหลายขนาดและรูปแบบของหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์มือถือ โดยการออกแบบ Mobile-friendly จะมีการใช้ Responsive design ซึ่งเป็นการปรับปรุงการแสดงผลเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับขนาดหน้าจอของอุปกรณ์ที่ User ใช้งาน ด้วยวิธีนี้ User จะสามารถเข้าถึงและใช้งานบนเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกสบายในทุกสถานการณ์ ซึ่งการออกแบบ Mobile-friendly เป็นสิ่งสำคัญที่สำคัญในการทำ SEO เนื่องในปัจจุบัน Google ถือว่าเว็บไซต์ที่มีการออกแบบ Mobile-friendly เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับในผลการค้นหา ทำให้นักสร้างเว็บไซต์ละเลยข้อนี้ไปไม่ได้เลย
แน่นอนว่ายังมีรายละเอียดอีกมากที่ให้คุณเรียนรู้เพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าหากคุณได้ทดลองปรับเปลี่ยนบางอย่างหรือใส่ใจรายละเอียดตามหัวข้อที่ให้มาแล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าเว็บไซต์ของคุณต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากว่าจุดไหนที่ยังไม่มั่นใจให้คุณลองทำ A/B Testing ได้ เพื่อมั่นใจว่าจะสามารถปรับเว็บไซต์ไปในทิศทางที่ถูกต้อง
สรุป: UX ปัจจัยที่ขาดไม่ได้ในการออกแบบเว็บไซต์และทำ SEO
ไม่เพียงแต่ดูสวยงาม มีระเบียบ หรือล้ำสมัยเท่านั้นที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับการค้นหาแต่เรียกได้ว่าการใส่ใจใน User Experience เป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้ในการออกแบบเว็บไซต์และทำ SEO อย่างแท้จริง ยิ่งคุณพิถีพิถันในการออกแบบโครงสร้างมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ User รับรู้ถึงความจริงใจในการมอบประสบการณ์ได้มากเท่านั้น และนี่คือข้อดีที่จะทำให้คุณเข้าใจว่า Ux สำคัญอย่างไร
เพิ่มความน่าเชื่อถือและความเป็นมาตรฐานของเว็บไซต์
การออกแบบที่ดีช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเป็นมาตรฐานของเว็บไซต์ เพื่อให้ User มีความมั่นใจในการใช้งานและสามารถติดต่อสื่อสารกับเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพและการให้บริการของเว็บไซต์ เพื่อช่วยเพิ่มการเข้าชมและการแชร์ข้อมูลของ User
เพิ่มความน่าสนใจความหลากหลายในการนำเสนอเนื้อหา
การที่เราสามารถออกแบบประสบการณ์ที่ดีให้กับ User ได้ มักมีความเกี่ยวพันกันโดยตรงกับการออกแบบการนำเสนอ แน่นอนว่าปัจจัยนี้ไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว ดังนั้น “การทดลอง” ที่มีคุณภาพบนพื้นฐานของความแปลกใหม่ จึงมักสร้างประสบการณ์ที่ดี จำไว้ว่าอย่าพยายามทำอะไรซ้ำ ๆ หากมันไม่ใช่แนวทางที่ได้ผลกับเว็บไซต์เรา แต่ให้เปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างเสมอเพื่อเฝ้าสังเกตว่าอะไรจะดีขึ้นหรือแย่ลงเมื่อเราได้ทำมันลงไป
เพิ่มความเข้ากันได้ของเว็บไซต์กับอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ต่าง ๆ
ความเข้ากันได้ของเว็บไซต์กับอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ต่าง ๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพในการทำ SEO เพื่อให้เกิดความราบรื่นในการใช้งานมากที่สุด ทั้งยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจและประสิทธิภาพของเว็บไซต์อย่างมากในระยะยาว โดยส่งผลดีทั้งมนุษย์และ Googlebot
ไม่มีรูปแบบตายตัวสำหรับการสร้างประสบการณ์ที่ดี มีแต่นักทดลองเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรจะดีหรือไม่ดีสำหรับเว็บไซต์ของเรา เพราะฉะนั้น อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนอะไรสักอย่างแม้ว่ามันดีอยู่แล้ว เพราะนั่นอาจหมายความว่า “มันอาจดีได้มากขึ้น” หรือในกรณีที่แย่ลง คุณยังมีโอกาสเปลี่ยนมาใช้รูปแบบการนำเสนออย่างเดิมก็ได้ แม้เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากแตะต้อง (เพราะเสี่ยงที่ทำบางอย่างพลาดไป) แต่เชื่อได้ว่าทุกการกระทำจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ไม่ช้าก็เร็ว
จึงกล่าวได้ว่า User Experience เป็นสิ่งสำคัญในทุกกระบวนการของการทดลองข้อมูลทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเว็บไซต์เป็นสิ่งที่มีค่า หากในวันนี้เว็บไซต์ของคุณยังไม่น่าสนใจ หรือไม่ดึงดูดผู้คนมากพอ การทำความเข้าใจใน User Experience อาจเป็นอีกเรื่องที่คุณต้องศึกษามันอย่างจริงจัง